นายณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ ประธาน บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน ต้นธารคอร์ปอเรชั่น ในฐานะที่ปรึกษาการลงทุนผู้ถือหุ้นรายย่อยของบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK เปิดเผยว่า ในวันพรุ่งนี้ ( 6 ก.ค.) กลุ่มผู้ถือหุ้นรายย่อยที่เสียหาย 11,000 คน จะส่งผู้แทนเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ให้ดำเนินคดีต่อผู้ต้องสงสัยจำนวน 7 ราย ในข้อหาฉ้อโกงประชาชน ร่วมกันฟอกเงิน และความผิดตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ และจับกุม ควบคุมตัวกลุ่มบุคคลผู้ร่วมกระทำความผิดโดยพลัน
พร้อมทั้งระงับการเดินทางไปต่างประเทศของกลุ่มบุคคลดังกล่าวภายในวันที่ 6 ก.ค. 2566 เป็นต้นไป และขอให้ DSI เร่งประสาน สำนักงานคณะกรรมการป้องปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่ออายัดทรัพย์สิน และพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้ร่วมขบวนการดังกล่าวทั้งหมด
ทั้งนี้เนื่องจากทาง STARK ได้แจ้งให้ นายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ พ้นจากการเป็นกรรมการผู้มีอำนาจใน STARK ตามหนังสือที่บริษัทแจ้งไปยังตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันจันทร์ที่ 4 ก.ค. เวลา 21.00 น. เช่นเดียว กับ พ.ต.ท.ปกรณ์ สุชีวกุล ที่ได้ลาออกจากการเป็นประธานบริษัท
หลังจากถูกอดีตประธานบริหารฝ่ายการเงิน หรือ CFO ของ STARK ให้สัมภาษณ์ทางรายการโทรทัศน์ว่าเป็นผู้ได้ประโยชน์จากการตกแต่งบัญชี สามารถทำให้ขายหุ้นล็อตใหญ่ได้เป็นเงินนับหมื่นล้านบาท
ในกรณีนี้นายวนรัชต์ ได้ให้ข่าวว่า เป็นเพียงผู้ถือหุ้นใหญ่ และกรรมการบริษัทเท่านั้น ไม่ได้มีอำนาจบริหาร เพราะได้ยกอำนาจสิทธิ์ขาดในการบริหารกิจการให้กับนายชนินทร์ เย็นสุดใจ เป็นประธานกรรมการ
นายวนรัชต์ ในฐานะผู้เสียหายเป็นผู้กล่าวโทษดำเนินคดีต่อ นายชนินทร์ และลูกน้อง ทำให้เกิดข้อกังขาว่า ในเมื่อนายวนรัชต์เป็นผู้ได้รับผลประโยชน์จากการตกแต่งปลอมแปลงบัญชีด้วยการขายหุ้นล็อตใหญ่มูลค่านับหมื่นล้านบาททำไมเขาจึงเป็นเพียงผู้เสียหาย ไม่ตกเป็นผู้ต้องสงสัย
เจ้าหน้าที่ในกรมDSIกล่าวว่า เนื่องจากยังไม่มีใครมาร้องทุกข์ดำเนินคดีต่อนายวนรัชต์ เรื่องนี้อดีตCFOของSTARKไปให้ข้อมูลหลักฐานกับสำนักงานก.ล.ต.หมดแล้วตั้งแต่วันที่ 20 มิ.ย.หลักฐานชัดเจนเส้นทางการเงินว่าออกจากบัญชีไหน ไปเข้าบัญชีใคร แต่เวลาล่วงเลยมาถึงขั้นนี้ก.ล.ต.ยังไม่มาแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดี ซึ่งหากก.ล.ต.ไม่ทำ ทางผู้เสียหายคือผู้ถือหุ้นรายย่อยจะมาร้องทุกข์กล่าวโทษเองก็ได้
อย่างไรก็ดีเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องยืนยันว่าสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ( ก.ล.ต.) มีอำนาจที่จะระงับความเสียหายได้หลายอย่าง ทั้งการอายัดทรัพย์สิน การห้ามเคลื่อนย้ายถ่ายเทหลักฐาน ประสานงานห้ามผู้ต้องสงสัยเดินทางออกนอกราชอาณาจักร แต่ปล่อยเวลาล่วงเลยมาถึงบัดนี้
นอกจากนี้รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังควรแสดงบทบาทครั้งสุดท้ายก่อนหมดอำนาจหน้าที่ ด้วยการมีคำสั่งพิเศษขีดเส้นต่อ ก.ล.ต. ภายใน 3 วัน 7 วัน ให้เร่งดำเนินคดีต่อผู้ต้องสงสัยในคดีนี้ พร้อมประสานงานอายัดทรัพย์สินต่างๆ ตามเงินมาคืนผู้เสียหาย จะสามารถกอบกู้ความเชื่อมั่นคืนตลาดทุนได้