ก.ล.ต. ส่งอัยการฟ้อง 6 ราย อินไซด์หุ้น PTG ชดใช้ 68 ล้านพร้อมดอกเบี้ย

07 ส.ค. 2566 | 11:50 น.
อัปเดตล่าสุด :07 ส.ค. 2566 | 11:51 น.

ก.ล.ต. ขอให้พนักงานอัยการฟ้องผู้กระทำความผิดรวม 6 ราย ต่อศาลแพ่งกรณีขายหุ้น PTG โดยอาศัยข้อมูลภายในบริษัท และเรียกให้ชำระเงินรวม 68 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย

7 ส.ค. 66) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ขอให้พนักงานอัยการฟ้องผู้กระทำความผิด 6 ราย จากกรณีขายหุ้น บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) (PTG) โดยอาศัยข้อมูลภายในที่ตนรู้หรือครอบครอง เปิดเผยข้อมูลภายใน และช่วยเหลือการกระทำความผิด

เพื่อขอให้กำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่ง เรียกให้ชำระเงินรวม 68,456,936 บาท พร้อมดอกเบี้ย กำหนดระยะเวลาห้ามซื้อขายหลักทรัพย์ หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้า

และกำหนดระยะเวลาห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหาร พร้อมรายงานการดำเนินการต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อพิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป

ตามที่ก่อนหน้านี้คณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง (ค.ม.พ.) ได้มีมติให้นำมาตรการลงโทษทางแพ่งมาใช้บังคับกับผู้กระทำความผิด 6 ราย ประกอบด้วย

  1. นางฉัตรแก้ว คชเสนี
  2. นางสาวลภัสอร คชเสนี
  3. นายสหัสชัย คชเสนี
  4. นายเขมภพ คชเสนี
  5. นางกชกรณ์ พิบูลธรรมศักดิ์
  6. นายธราธร พิบูลธรรมศักดิ์

พร้อมกำหนดให้ชำระค่าปรับทางแพ่ง ชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. อันเนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด คิดเป็นเงินรวม 51,540,993 บาท และห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์ เป็นระยะเวลา 12 – 31 เดือน

แต่เนื่องจากผู้กระทำความผิดทั้ง 6 รายไม่ยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่งที่ ค.ม.พ. กำหนด ก.ล.ต. จึงมีหนังสือขอให้พนักงานอัยการดำเนินการฟ้องคดีผู้กระทำความผิดทั้ง 6 ราย ต่อศาลแพ่ง เพื่อขอให้กำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่ง โดยให้ชำระเงินรวมทั้งสิ้น 68,456,936 บาท พร้อมดอกเบี้ย

รวมทั้งกำหนดห้ามผู้กระทำความผิดทั้ง 6 ราย ซื้อขายหลักทรัพย์หรือเข้าผูกพันตามสัญญาซื้อขายล่วงหน้า และกำหนดห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์ ในอัตราสูงสุดที่กฎหมายบัญญัติ

อนึ่ง ก.ล.ต. ได้นำส่งการดำเนินการดังกล่าวต่อ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เนื่องจากความผิดเกี่ยวกับการกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ดังกล่าว เป็นความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกัน และปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 เพื่อพิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป