(17 ส.ค. 66) ในงานประชุมผู้ถือหุ้นกู้ STARK ที่ได้รับผลกระทบนัดแรกที่ โรงแรม The Emerald ถนนรัชดาภิเษก ในหัวข้อ "หุ้นกู้ STARK รวมพลังเดินหน้าแก้ปัญหา" โดย รศ.สมชาย สุภัทรกุล คณบดี คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ร่วมเสวนาพร้อมให้ความเห็นว่า การตกแต่งบัญชีของ บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) "STARK" ทำให้เกิดผลกระทบต่อผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกส่วน
โดยเฉพาะผู้ลงทุนในหุ้นกู้และหุ้นของ STARK อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนโดยรวมในตลาดทุน ตอนนี้คงต้องมาคิดกันว่าจะมีแนวทางอย่างไรที่จะเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนให้กลับมาได้
ทั้งนี้แนวทางที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้ฟื้นกลับมามองว่าคือ ผู้สอบบัญชี ซึ่งมีส่วนสำคัญในการช่วยคัดกรองข้อมูลด้านงบการเงินของบริษัทต่างๆ ที่จะต้องมีการมาพูดคุยกันในเรื่องการปฏิบัติงาน ให้มีความเข้มข้นมากขึ้น
ถือเป็นการยกระดับการปฏิบัติงานจากการถอดบทเรียนความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในอดีตมาหาแนวทางแก้ไขเพื่อไม่ให้เกิดขึ้นอีกในอนาคต มากกว่าการที่จะมาดูตามมาตรฐานบัญชีเท่านั้น เพราะมาตรฐานบัญชีที่ประเทศไทยใช้อยู่ก็เป็นไปตามมาตรฐานสากลอยู่แล้ว
"อยากให้มีการมาพูดคุยเกี่ยวกับการทำงานของผู้สอบบัญชีที่ต้องมีความเข้มงวด และระมัดระวังมากขึ้น โดยถอดบทเรียนจากสิ่งที่เกิดขึ้นมาแก้ไข และหาแนวทางมาร่วมในการป้องกันความผิดพลาดไม่ให้เกิดในอนาคตได้อีก" รศ.สมชาย กล่าว
ขณะเดียวกันในส่วนของหน่วยงานกำกับทั้ง สำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) รวมถึงหน่วยงานที่มีการนำข้อมูลของบริษัทมาจัดทำอันดับเครดิตเรตติ้ง
จะต้องมีการทำงานในเชิงรุกมากขึ้นในการตรวจสอบข้อมูลของบริษัทต่างๆ และมีการทำงานร่วมกับผู้ตรวจสอบบัญชีในการร่วมตรวจสอบ และกลั่นกรองข้อมูลก่อนที่จะมีการนำเสนอออกมา
อย่างในต่างประเทศมีโมเดลที่เรียกว่า Earning Memorandum เพื่อเป็นการป้องกันความผิดพลาดของข้อมูลที่เกิดขึ้น และลดความเสี่ยงให้กับผู้ลงทุน และช่วยลดความเสียหายได้
ด้านนายพีรภัทร ฝอยทอง ทนายความและนักวางแผนการเงิน CFP ระบุว่า หน่วยงานที่กำกับดูแล จะต้องมีการพัฒนาและทำงานในเชิงรุกมากขึ้น หลังจากกรณีของ STARK ส่งผลกระทบในวงกว้าง
โดยทาง ก.ล.ต. จะต้องมีการพัฒนาแนวทางในการตรวจสอบ และการป้องกันเกี่ยวกับการนำเสนอข้อมูลที่ไม่เป็นไปตามข้อเท็จจริง โดยเฉพาะการนำงานวิจัยที่มีอยู่มาประยุกต์ใช้ เพื่อพัฒนากฎเกณฑ์ต่างๆให้ดีขึ้น จึงจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนได้
อย่างไรก็ตามการปรับปรุงกฏเกณฑ์ที่เข้มงวดขึ้นยอมรับว่าบริษัทจดทะเบียนได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน โดยเฉพาะในเรื่องของต้นทุนของบริษัทจดทะเบียนที่อาจเพิ่มขึ้นได้
แต่ต้องยอมรับว่าทุกภาคส่วนจะต้องร่วมกันเพื่อยกระดับตลาดทุนและตลาดตราสารหนี้ไทยให้มีความก้าวหน้ามากขึ้น มีธรรมภิบาล โปร่งใส เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนกลับมา
สำหรับในส่วนของผู้ถือหุ้นกู้ที่ได้รับผลกระทบจากกรณีของ STARK ยังคงมีความจำเป็นต้องรวมตัวกัน และตั้งตัวแทนเพื่อเรียกร้อง และสอบถามข้อมูลไปยังผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต่อไป