ภาพรวมเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงในปีที่ผ่านมา ทำให้อุตสาหกรรมรถเช่าระยะยาวปีที่ผ่านมาหดตัวลงเล็กน้อยมาประมาณ 2-3% จากก่อนหน้าที่ขยายตัวต่อเนื่อง 5-10% ในช่วง 10-20 ปีที่ผ่านมา ยกเว้นช่วงโควิด-19 ในช่วง แต่มีลูกค้าใหม่ๆ ให้ความสนใจเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ 90% ของตลาดทั้งหมดถูกครอบครอง โดยผู้ประกอบการรายใหญ่
นายพิชิต จันทรเสรีกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท กรุงไทยคาร์เร้นท์ แอนด์ ลีส จำกัด (มหาชน)หรือ KCAR เปิดเผยว่า ภาพรวมอุุตสาหกรรมรถเช่าระยะยาวปีนี้ น่าจะยังทรงตัวหรือปรับลดลงเล็กน้อยเหมือนปีที่ผ่านมา เพราะธุรกิจโลจิสติกส์ได้เปลี่ยนจากการเช่ากลับไปเป็นรถร่วม คือทางโลจิสติกส์จะเปิดโอกาสให้คนที่มารถอยู่แล้วสามารถเอารถมาร่วมได้ ทำให้พอร์ตโลจิสติกส์ที่เดิมใหญ่มากหายไป เพราะเช่าครั้งหนึ่งเป็นหมื่นคัน
สำหรับ KCAR เองปีนี้อาจจะทรงตัวหรือ โต 1-2% ถ้าเป็นเม็ดเงินประมาณ 2,000 ล้านบาท เพราะครึ่งปีที่ผ่านมาค่าเช่าลดลงประมาณ 3% เนื่องจากลูกค้าต่ออายุสัญญาและรถที่ครบสัญญากลับ ต้องมีการซื้อรถทดแทน โดยปีนี้ทั้งปีตั้งเป้าปล่อยรถใหม่ประมาณ 1,500 คันจากครึ่งปีที่ปล่อยใหม่ 500-600 คัน ซึ่งแต่ละปีจะมีรถที่ครบอายุสัญญา 1,200-1,500 คันจากพอร์ตรถยนต์ให้เช่าที่มีทั้งหมดประมาณ 9,000 มีลูกค้ากว่า 1,200 บริษัท มีศูนย์บริการ 1,000 แห่งทั่วประเทศ และยังมีรถรอส่งมอบอีก 1,000 คันในช่วง 4 เดือนสุดท้ายของปี
“ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีลูกค้าต่ออายุสัญญาเป็นจำนวนมาก แต่ปีนี้เริ่มมีคืนรถเข้ามาเยอะขึ้น และเราก็ต้องซื้อรถทดแทน ซึ่งธุรกิจรถเช่าจะไม่เหมือนการขาย ที่เมื่อขายออกไปจะรับรู้รายได้ทันที แต่รถเช่าจะมีการรอส่งมอบและรับรู้เป็นรายเดือน อย่างที่รอส่งมอบในช่วง 4 เดือนสุดท้ายของปีก็จะรับรู้รายได้เพียง 4 เดือนเท่านั้น ทำให้การรับรู้จะแตกต่างออกไปจากธุรกิจอื่น”นายพิชิต กล่าว
ขณะเดียวกันสัญญาเช่ารถยังขยายยาวขึ้นเป็น 5 ปี ตามความต้องการลูกค้า ทั้งที่เดิมจะปล่อยเช่าที่ 3 ปี ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ดี เพราะ 3 ปีรถไม่ค่อยเสีย ค่าซ่อมจะน้อย บางทีรถยังไม่ตกรุ่น แล้วรถ 3 ปี ไมล์วิ่งไม่เยอะ แต่ 5 ปีจะตกรุ่น ทุกยี่ห้อ ไมล์วิ่งเยอะแล้ว ทำให้ราคาตกลงไปเยอะ
ส่วนกลุ่มลูกค้าของ KCAR จะแบ่งออกเป็น รัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ 15% เช่น ธนาคารออมสิน, ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และอีก 85% จะเป็นบริษัทเอกชน โดยที่ 50% จะเป็นบริษัทเอกชนจะเป็นบริษัทชั้นนำ อาทิ ธนาคาร กสิกรไทย, ธนาคารไทยพาณิชย์ และ SCG ขณะที่สัดส่วนรายได้ 59% จะมาจากรายได้ค่าเช่าและอีกกว่า 39% จะมาจากรายได้ขายรถใช้แล้ว และอื่นๆ 2% โดย 98% เป็นเช่าระยะยาว ที่เหลือประมาณ 2% เป็นลูกค้ารายย่อยที่เช่ารถยนต์เป็นรายวัน
สำหรับผลประกอบการครึ่งแรกของปี 2566 มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,153 ล้านบาท เติบโต 0.3% และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 132 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.6% ซึ่งเป็นผลจากใกล้ครบอายุสัญญาเช่ารถมากขึ้น โดยปีนี้ได้วางงบลงทุไว้ที่ราว 1,200-1,500 ล้านบาท ซึ่งหลักๆจะเป็นการซื้อรถยนต์ใหม่ ทดแทนรถที่ครบสัญญาเช่า
นายพิชิตกล่าวถึง ทิศทางตลาดรถมือสองว่า ปีนี้จะไม่ค่อยดีเท่าไรนัก ส่วนหนึ่งจากสภาพเศรษฐกิจ โดยรวมไม่ดี และยังจะมีปริมาณรถมือสองเข้ามาสู่ตลาดมากขึ้น หลังจากมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากโควิดสิ้นสุดลงบางส่วน ทำให้มีรถยนต์ที่อยู่ระหว่างการผ่อนชำระถูกยึดจากบริษัทผู้ให้สินเชื่อมากขึ้น โดยคาดว่าปีนี้อาจจะเห็นรถที่ถูกยึดถึงประมาณ 5 แสนคัน สูงกว่าระดับปกติที่ราว 2-3 แสนคันต่อปี
ขณะเดียวกันตลาดรถใหม่ยังคลายความตึงตัวลง สามารถผลิตและส่งมอบมากขึ้น ทำให้ความต้องการรถมือสองลดลงด้วย ส่งผลให้ราคาของรถยนต์มือสองโดยเฉลี่ยต่ำลงจากปีก่อน โดยราคาขายรถมือสองบางรุ่นลดลงจาก 3.3-3.4 แสนบาท เมื่อปีก่อน มาเหลือ 2.7 แสนบาทในปีนี้
“ภาพรวมของตลาดรถมือสองน่าจะทรงตัวหรือหดตัวเล็กน้อย จากปัจจัยกดดัน 3 เรื่องคือ เศรษฐกิจชะลอตัว อุปทานมากขึ้นตามจำนวนรถถูกยึด และการเข้ามาของรถ EV” นายพิชิตกล่าว
สำหรับ KCAR ปีนี้คาดว่าจะมีรายได้จากการขายรถมือสองเติบโตได้มากกว่า 10% ส่วนหนึ่งจากจำนวนรถที่ครบอายุสัญญาเช่าเพิ่มขึ้น ซึ่งจะถูกขายเป็นรถมือสองแทน หลังจากปีก่อนที่ลูกค้าสัญญาเช่าขอต่ออายุสัญญาเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ ปัจจุบันสัดส่วนรายได้จากการขายรถมือสองของบริษัทอยู่ที่ประมาณ 39%
นอกจากนั้นปีนี้น่าจะมีรถ EV มือสองออกสู่ตลาดด้วย หลังจากบริษัทได้เริ่่มรุกตลาดปล่อยเช่ารถ EV ในปีที่ผ่านมา แต่พอร์ตไม่ใหญ่มากประมาณ 100 คัน จากพอร์ตรวม 9,000 คัน เพราะ EV ยังเป็นเทคโนโลยีใหม่ ยังไม่แน่ใจเรื่องของความเสถียร และที่สำคัญยังไม่รู้ราคาซากและการให้บริการในแต่ละพื้นที่ยังต่างกัน แต่ที่ลองทำ เพื่อไม่ให้ตกขบวน อย่างน้อยจะได้รู้พฤติกรรมลูกค้าและอุปสรรคต่างๆ
“รถ EV เราเพิ่งดำเนินการในช่วงปลายปี 2565 ดังนั้นพอร์ตจึงเล็กมาก เราแค่ค่อยแหย่ขาเข้าไป และปีนี้กำลังจะเริ่มลองขายรถมือสองเป็นครั้งแรก ที่เป็นสัญญาเช่า 1 ปี โดยส่วนตัวคาดว่า ราคาขายน่าจะอยู่ที่ประมาณ 80% ของราคารถมือหนึ่ง”
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 43 ฉบับที่ 3,915 วันที่ 20 - 23 สิงหาคม พ.ศ. 2566