ดัชนีหุ้นไทยเดือน ส.ค. 66 บวก 0.6% รับรัฐบาลใหม่ ปัจจัยต่างประเทศยังกดดัน

11 ก.ย. 2566 | 11:40 น.
อัพเดตล่าสุด :11 ก.ย. 2566 | 11:42 น.

ดัชนีตลาดหุ้นไทยเดือน ส.ค. 66 ปรับตัวขึ้น 0.6% ปิดที่ 1,565.94 จุด จากเดือนก่อน หลังนักลงทุนตอบรับได้รัฐบาลใหม่ ด้านปัจจัยต่างประเทศยังคงกดดัน ต่างชาติขายสุทธิรวม 14,755 ล้านบาท

(11 ก.ย. 66) นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาตัวเลขของ สภาพัฒน์ฯ รายงานเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2/66 ขยายตัว1.8% ชะลอลงจาก 2.6% ในไตรมาสก่อนหน้า โดยเป็นผลมาจากการส่งออกที่หดตัว 

แต่ในเดือน ส.ค.66 หลังจากการจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จเมื่อวันที่ 23 ส.ค.66 ส่งผลให้ SET Index ปรับเพิ่มขึ้น 6 วันติดต่อกันอยู่ที่ 1,576.67 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงที่สุดนับตั้งแต่มีการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พ.ค. 66 

โดยดัชนีปรับลงไปจุดต่ำสุดที่ 1,466.93 จุด และปิดที่ 1,565.94 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 0.6% จากเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นไปในทิศทางตรงกันข้ามกับดัชนีหลักทรัพย์อื่นๆ ในภูมิภาค

สำหรับเดือน ส.ค.66 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai อยู่ที่ 58,579 ล้านบาท ปรับลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า 21.1% โดยมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน 8 เดือนแรกปี 66 อยู่ที่ 57,904 ล้านบาท 

ด้านผู้ลงทุนต่างชาติขายสุทธิเป็นเดือนที่ 7 โดยในเดือน ส.ค.66 ผู้ลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 14,755 ล้านบาท ส่วนผู้ลงทุนต่างประเทศมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 16

ดัชนีหุ้นไทยเดือน ส.ค. 66 บวก 0.6% รับรัฐบาลใหม่ ปัจจัยต่างประเทศยังกดดัน

รวมทั้งในเดือน ส.ค. 66 มีบริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่ซื้อขายใน SET 2 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ.พี.เอส.พี. สเปเชียลตี้ส์ (PSP) และ บมจ. เคซีจี คอร์ปอเรชั่น (KCG) และใน mai 1 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. ไอ ทู เอ็นเตอร์ไพรซ์ (I2)

นายศรพล กล่าวว่า แนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยหลังมีรัฐบาลใหม่ โดยปกติแล้วถ้าสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้เร็วและมีนโยบายที่แน่ชัดจะยิ่งทำให้ความเชื่อมั่นการลงทุนกลับมา 

แต่หลักสำคัญคือการผ่านงบประมาณและการแจกจ่ายงบประมาณให้เร็วที่สุด และการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน ซึ่งเมื่อดูคำแถลงนโยบายจะเห็นว่ารัฐบาลพยายามจะทำให้เกิดเงินหมุนเวียนในช่วงที่งบประมาณยังรอการอนุมัติ ผ่านการแก้ปัญหาเศรษฐกิจในระยะสั้น 

ดังนั้นถ้าภาพเหล่านี้มีการแก้ไขปัญหาก็จะส่งผลดีต่อตลาดทุน ส่วนระยะยาวต้องติดตามขีดความสามารถการแข่งขันรอดูรายละเอียดนโยบายของรัฐบาลเพิ่มเติม รวมถึงวิธีการที่จะดำเนินงานรวมถึงกรอบระยะเวลาในการดำเนินนโยบายต่างๆ

ส่วนเรื่องการกล่าวสุนทรพจน์ของประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในการประชุมวิชาการของเฟดที่เมือง Jackson Hole เมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา ส่งสัญญาณว่ายังคงยืนยันเป้าหมายเงินเฟ้อระยะยาวที่ 2% (จากปัจจุบันอยู่ที่ 3.2%) 

ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ และตลาดแรงงานยังคงชะลอตัวช้ากว่าคาด ทำให้ผู้ลงทุนคาดว่าอาจเห็นเฟดคงดอกเบี้ยที่ 5.25 - 5.50% ไปจนถึงปลายปีนี้ อีกทั้งผู้ลงทุนยังกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน 

โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ที่มีบริษัทใหญ่บางแห่งในอุตสาหกรรมส่งสัญญาณว่ามีปัญหาด้านสภาพคล่อง ทำให้ sentiment ผู้ลงทุนโดยรวมในตลาดโลกอยู่ในเชิงลบ