BTS งบ 9 เดือนปี 66/67 ขาดทุน 5,277 ล้าน เหตุบันทึกด้อยค่าเงินลงทุน KEX-JMART

15 ก.พ. 2567 | 03:05 น.
อัปเดตล่าสุด :15 ก.พ. 2567 | 03:13 น.

BTS รายงานงบ 9 เดือนแรกปี 66/67 ขาดทุนสุทธิ 5,277 ล้านบาท เหตุบันทึกผลขาดทุนจากการด้อยค่าเงินลงทุนใน "KEX -แรบบิท โฮลดิ้งส์- JMART ขณะที่ความสามารถการทำรายได้สูงถึง 19,676 ล้านบาท เติบโต 10.5% พร้อมเคาะปรับโครงสร้างภายในกลุ่ม เข้าถือ VGI เป็น 60.97%

บริษัทบีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)หรือ BTS รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2566/67  บริษัทฯ ขาดทุนสุทธิจำนวน 4,761.71 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 1,048.56 ล้านบาท

สาเหตุหลักมาจากการบันทึกรายการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ได้แก่

  • (1) การรับรู้ผลขาดทุนจากการด้อยค่าเงินลงทุนในริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (KEX)
  •  (2) ผลขาดทุนจากการด้อยค่าเงินลงทุนใน SINGER(1) ของแรบบิท โฮลดิ้งส์และ
  • (3) ต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น 53.2% จากปีก่อนหน้า

อย่างไรก็ตาม หากไม่รวมรายการที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำ (ซึ่งรวมถึงผลขาดทุนจากการด้อยค่าดังกล่าวข้างต้น) บริษัทรายงานกำไรสุทธิหลังปรับปรุงแล้ว จำนวน 144 ล้านบาท และอัตรากำไรสุทธิ(ก่อนรายการที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำ หลังหักส่วนที่เป็นของผู้มีส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบคุมของบริษัทย่อย) อยู่ที่ 2.1% 

 

ส่วนรายได้รวม บริษัทมีผลประกอบการงวดนี้จำนวน 6,872 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 3.8% หรือ 251 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้ที่เพิ่มขึ้นมีสาเหตุหลักมาจาก (1) รายได้จากการให้บริการรับเหมาที่เพิ่มขึ้น 217 ล้านบาท เนื่องจากการเร่งงานก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูให้แล้วเสร็จ (2) รายได้จากการบริการและการขายที่เพิ่มขึ้น 197 ล้านบาท

ส่วนใหญ่มาจากรายได้ค่าโดยสารของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นดังกล่าวถูกหักกลบบางส่วนด้วยกำไรจากการขายและเปลี่ยนสถานะเงินลงทุนที่ลดลงจำนวน 185 ล้านบาท

ด้านค่าใช้จ่ายรวมบริษัทฯ เพิ่มขึ้น 122.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็น 10,114 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากการรับรู้ผลขาดทุนจากการด้อยค่าเงินลงทุนใน KEX ของบริษัทฯ และบริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) (วีจีไอ)  

บีทีเอส กรุ๊ป บันทึกกำไรจากรายการที่เกิดขึ้นเป็นประจำก่อนค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่าย ดอกเบี้ยและภาษี (Recurring EBITDA) จำนวน 2,283 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่มาจากธุรกิจ MOVE อย่างไรก็ตาม Recurring EBITDA ลดลง 17.7% หรือ 491 ล้านบาท จากปีก่อนหน้า ส่วนใหญ่มาจากการลดลงของส่วนแบ่งกำไรจากรายการที่เกิดขึ้นเป็นประจำจากเงินลงทุนใน บริษัท แรบบิท โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (แรบบิท โฮลดิ้งส์) ภายใต้ธุรกิจ MATCH ทั้งนี้การลดลงบางส่วนได้รับการชดเชยจาก Recurring EBITDA ธุรกิจ MIX ที่เติบโตขึ้น ซึ่งได้แรงหนุนหลักจากการเติบโตของผลประกอบการของธุรกิจบริการดิจิทัล
 

ด้านผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปี 66/67 ( 1 เมษายน  2565 ถึง 31 ธันวาคม 2566) บริษัท ฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 19,676 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.5% จากงวดเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 17,813 ล้านบาท ปัจจัยหลักมาจาก 

  • (1) รายได้ดอกเบี้ยรับที่เพิ่มขึ้น จำนวน 919 ล้านบาท 
  • (2) การเพิ่มขึ้นของรายได้จากการบริการและการขาย จำนวน 500 ล้านบาท โดยมีปัจจัยหนุนจากการเติบโตของรายได้จากธุรกิจบริการดิจิทัล ภายใต้ธุรกิจ MIX และการรับรู้รายได้ค่โดยสาของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองเป็นครั้งแรก ควบคู่กับการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) ภายใต้ธุรกิจ MOVE และ
  • (3) การเพิ่มขึ้นของรายได้จากการให้บริการรับเหมา จำนวน 453 ล้านบาท จากงานก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสีเหลือง

ทั้งนี้งบ 9 เดือนแรกปี 66/67  บีทีเอส กรุ๊ป บันทึกขาดทุนสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ จำนวน 5,277 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจาก (1) ผลกระทบจากการรับรู้รายการที่เกิดขึ้น เพียงครั้งเดียวของผลขาดทุนจากการด้อยค่าเงินลงทุนใน KEX (2) ส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในแรบบิท โฮลดิ้งส์ (2)และ JMART รวมถึงส่วนแบ่งขาดทุนที่เพิ่มขึ้นจากเงินลงทุนใน KEX และ (3) ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารและต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น 

อย่างไรก็ดีหากหักรายการที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำ (ซึ่งรวมถึงผลขาดทุนจากการด้อยค่าดังกล่าวข้างต้น) บริษัทรายงานกำไรสุทธิหลัก จำนวน 196 ล้านบาท และอัตรากำไรสุทธิ(ก่อนรายการที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำ หลังหักส่วนที่เป็นของผู้มีส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบคุมของบริษัทย่อย) อยู่ที่ 1.1%

ปรับโครงสร้างภายในกลุ่ม ถือ VGI เพิ่มเป็น 60.97%

นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 1/2567 ได้มีมติอนุมัติการปรับโครงสร้างการถือหุ้นภายในกลุ่มบริษัท โดยบริษัทจะเข้าซื้อหุ้นสามัญทั้งหมดที่บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จํากัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทฯ ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 98.23 (“บีทีเอสซี”) ถือในบริษัท วีจีไอ จํากัด (มหาชน) หรือ VGI เป็นจํานวน 3,320,656,950 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.10 บาท คิดเป็นประมาณ 29.66% ของหุ้นที่จําหน่ายได้แล้วทั้งหมดของวีจีไอ ในราคาหุ้นละ 1.70 บาท รวมเป็น จํานวนเงิน 5,645,116,815 บาท

ภายหลังการทําธุรกรรมดังกล่าว บริษัทฯ จะถือหุ้นในวีจีไอเพิ่มขึ้น จากเดิมในสัดส่วนประมาณ 31.30% เป็นประมาณ 60.97% ของหุ้นที่จําหน่ายได้แล้วทั้งหมดของวีจีไอ ส่งผลให้วีจีไอเปลี่ยนสถานะเป็นบริษัทย่อยทางตรงของบริษัท