นายนำพล มลิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทเอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGD เปิดเผยว่า จากการเริ่มกลับมาฟื้นตัวของเศษรฐกิจทั้งในประเทศไทย และกลุ่มประเทศที่บริษัทได้เข้าไปขยายตลาด เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ทำให้คาดว่ายอดขายและรายได้รวมทั้งปี 2567 จะสามารถกลับมาขยายตัวแตะที่ระดับเหนือ 30,000 ล้านบาทได้อีกครั้ง หากไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามากระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจรุนแรงอีก จากปี 2566 ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ระดับ 28,940.73 ล้านบาท
อีกทั้งจากการลงทุนเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยที่ผ่านมาได้มีการลงทุนใน 3 โครงการหลัก ได้แก่ โครงการปรับปรุงเตา ทำให้สามารถประหยัดต้นทุนตต่อปีไปได้ถึงกว่า 35 ล้านบาท, โครงการติดตั้งแผงพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา ช่วยลดต้นทุนค่าไฟฟ้าไปได้ถึงปีละ 50 ล้านบาท และโครงการ Hot Ait Generator หรือการเอาแกลบมาใช้เป็นเชื้อเพลิงทดแทนในการหลอมผลิตภัณฑ์ ซึ่งช่วยลดต้นทุนพลังงานและวัตถุดิบที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงลงได้ถึงปีละกว่า 50 ล้านบาท สะท้อนต่อแนวโน้มการทำกำไรที่สูงขึ้นในปีนี้ โดยคาดว่ากำไรสุทธิอาจขยายได้ถึง 4-5% จากปีก่อน
โดยภาพรวมอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจในประเทศไทย มองว่านับตั้งแต่ไตรมาส 3/2566 เริ่มกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นเรื่อยๆ และต่อเนื่องมาจนถึงไตรมาส 1/2567 จากการที่ภาครัฐเดินหน้าออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและกำลังซื้อ รวมถึงการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ทำให้ภาพรวมยอดขายกลับมามีทิศทางที่ดีขึ้นตามลำดับ ทำให้ตลอดทั้งปี 2567 บริษัทยังมอง GDP ไทยเป็นบวก และเชื่อว่าทั้งไทยและกลุ่มประเทศเป้าหมายของบริษัทในปีนี้จะเดินหน้าผลักดันเศรษฐกิจให้กลับมาเติบโตได้ดีกว่าปีก่อน
ส่วนในประเทศเวียดนาม ถือเป็นประเทศที่มีศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีในอนาคต โดยคาดว่าภาพรวมเศรษฐกิจปี 2567 มีแนวโน้มฟื้นตัวหลังจากรัฐบาลได้ออกมาตรการต่างๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ส่งผลดีต่อธุรกิจวัสดุตกแต่งพื้นผิวและความต้องการใช้สินค้าที่เพิ่มขึ้น บริษัทเดินหน้าโครงการการลงทุนปรับปรุงเทคโนโลยีและเครื่องจักรที่โรงงาน Prime Dai Loc ซึ่งเป็นหนึ่งในโรงงานในเครือ Prime Group ตั้งอยู่ที่จังหวัดกว๋างนาม ใกล้กับเมืองดานัง ภาคกลางของประเทศเวียดนาม
เพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตสินค้าใหม่ในกลุ่ม “กระเบื้องเซมิพอร์ซเลน” ที่กำลังได้รับความนิยม เพื่อรักษาศักยภาพความเป็นผู้นำอันดับ 1 ธุรกิจวัสดุตกแต่งพื้นผิวในเวียดนาม รวมถึงการขยายตลาดส่งออกไปยังภูมิภาคต่างๆ คาดว่าจะใช้งบลงทุนรวม 60,067 ล้านเวียดนามดอง หรือประมาณ 89.2 ล้านบาท คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในปี 2567
ด้านประเทศอินโดนีเซีย ปัจจุบันได้ผ่านการเลือกตั้งแล้ว ทำให้คาดว่าเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัวดีขึ้น ขณะเดียวกันต้นทุนค่าพลังงานปรับตัวลดลงมาอยู่ในระดับที่มีความเหมาะสม และถูกกว่าเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน ซึ่งเป็นผลบวกกับธุรกิจ เช่นเดียวกันกับประเทศฟิลิปปินส์ ที่มีแนวโน้มที่ดีขึ้น กลังจากที่ผ่านมามีปัญหาในเรื่องของเงินเฟ้อสูง แต่ปัจจุบันกลับมาอยู่ในระดับที่ดีขึ้นแล้ว
ทั้งนี้ ในปี 2567 บริษัทได้มีการวางกลยุทธ์หลักเพื่อใช้ในการขยายธุรกิจ ได้แก่
ขณะเดียวกันบริษัทยังคงมีความสนใจและเปิดโอกาสกว้างในการศึกษาการลงทุนใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อเข้ามาช่วยต่อยอดธุรกิจหลัก และสร้างการเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืนในอนาคต โดยมีความเป็นไปได้ทั้งในรูปแบบของการควบรวมกิจการ (M&A) และการร่วมทุน (JV) ที่ผ่านมามีการศึกษาอยู่ในมือแล้วบ้าง แต่ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน อาจต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งจึงจะได้ข้อสรุป และต้องคำนึงถึงความเหมาะสมของสภานการณ์และสภาพเศรษฐกิจในช่วงเวลานั้นๆ ร่วมด้วย
*จาก COTTO มาเป็น SCGD
อนึ่ง SCGD มีมูลค่าหลักทรัพย์ (Market cap) ณ ราคา IPO ที่ 18,975 ล้านบาท ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แทน COTTO ที่ได้รับการเพิกถอนหลักทรัพย์ออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ตามแผนปรับโครงสร้างธุรกิจ โดย SCGD มีทุนจดทะเบียนชำระแล้วหลังเสนอขายหุ้น 16,500 ล้านบาท มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท
โดยเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปและทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดจากผู้ถือหุ้นของ บมจ. เอสซีจี เซรามิกส์ (COTTO) ด้วยวิธีแลกหุ้น IPO ของ SCGD ตามแผนการปรับโครงสร้าง โดยเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนจำนวนรวม 439.1 ล้านหุ้น และมีกำหนดจองซื้อไปแล้วในช่วงระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน ถึง 13 ธันวาคม 2566
ในราคาเสนอขายสุดท้ายหุ้นละ 11.50 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 5,049.65 ล้านบาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 18,975 ล้านบาท โดยหลัง IPO แล้ว จะมีผู้ถือหุ้นใหญ่ ได้แก่ กลุ่มปูนซิเมนต์ไทย ถือหุ้นทั้งทางตรงและทางอ้อมรวม 73.4% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว
SCGD เป็น flagship company ของกลุ่มปูนซิเมนต์ไทย ประกอบธุรกิจด้วยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ดำเนินธุรกิจผลิตกระเบื้องปูพื้น บุผนัง ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ได้แก่ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย และธุรกิจผลิตสุขภัณฑ์และอุปกรณ์ภายในห้องน้ำในประเทศไทย ภายใต้ตราสินค้าที่เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง อาทิ COTTO SOSUCO CAMPANA PRIME MARIWASA และ KIA
มีช่องทางการจัดจำหน่ายที่ครอบคลุมทั้งภูมิภาคอาเซียน ผ่านเครือข่ายร้านค้าตัวแทนจำหน่ายต่างๆ ช่องทางร้านค้าปลีกสมัยใหม่ และจัดจำหน่ายผ่านเครือข่ายร้านค้าของบริษัท และส่งออกไปจำหน่ายในหลายประเทศทั่วโลก นอกจากนี้ บริษัทยังดำเนินธุรกิจการให้บริการนิคมอุตสาหกรรมในอำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี