23 เม.ย.67 ราคาหุ้นธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK ปรับขึ้นสูงสุดเช้านี้ 4.84% หรือบวก 6.00 บาท มาที่ระดับ 130 บาท จากราคาเปิด 125 บาท ขณะที่ราคาต่ำสุด 125 บาท
ล่าสุดปิดซื้อขายภาคเช้าอยู่ระดับ 127.00 บาท ปรับตัวเพิ่ม 3.00 บาทหรือเพิ่มขึ้น 2.42% มูลค่าการซื้อขาย 3,508.42 ล้านบาท
บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ปรับเพิ่มคำแนะนำหุ้น KBANK จาก “ถือ” เป็น “ซื้อ” หลังรายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1/67 ที่ดีกว่าคาด และแข็งแกร่ง มีกำไรมากที่สุดในกลุ่มธนาคารพาณิชย์
โดยปัจจัยหนุนผลการดำเนินงานหลักมาจากการที่ตั้งสำรองฯลดลง รวมถึงค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลง อีกทั้งความกังวลกรณีของ ITD ได้มีการจัดชั้นเป็นลูกหนี้ state 2 แล้ว และมีการกันสำรองที่เพียงพอ ทำให้คลายกังวลในปัจจัยดังกล่าว และคาดหวังกำไรของ KBANK ในปีนี้จะเติบโตตามที่คาด 6-7% ซึ่งมีการปรับประมาณการกำไรเพิ่มขึ้น 3-4% และปรับราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้นจาก 130 บาท/หุ้น เป็น 145 บาท/หุ้น
บล.พาย จำกัด (มหาชน) หรือ PI คงคำแนะนำ"ซื้อ" ด้วยมูลค่าพื้นฐานที่ 152 บาท หลัง KBANK รายงานกำไรสุทธิในไตรมาส1/67 แข็งแกร่งกว่าคาดที่ 13.5 พันล้านบาท (+25.6% YoY, +43.7% Q0Q) ซึ่งเป็นระดับกำไรสุทธิที่สูงสุดในกลุ่มธนาคาร โดยมี NPL ratio ทรงตัวที่ 3.2% และ Coverage ratio ที่ 150.4% แต่ทั้งนี้ยังมีความไม่แน่นอนจากความขัดแย้งในต่างประเทศที่อาจกดดันให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวล่าช้า ซึ่งจะเป็นความท้าทายต่อการทำดำเนินธุรกิจในอนาคต
อย่างไรก็ดี การที่ธนาคารตั้งสำรองหนี้ฯรองรับความไม่แน่นอน และแผนการทำ Balance sheet clean-up จะแล้วเสร็จในปี 2567 ทำให้ค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ฯ ลดลง หนุนการกำไรเติบโตต่อเนื่อง 9.1% และ 8.9% ในปี 2567 และปี 2568 ตามลำดับ และ ROE เป็นขาขึ้นต่อเนื่อง ด้าน Valuation ของ KBANK ไม่แพงในมุมของเรา หุ้นซื้อขายที่เพียง 0.5x PBV'24E หรือ -1.2SD ต่อค่าเฉลี่ย 10 ปี
ด้านบล.ทิสโก้ ระบุ KBANKรายงานกำไรสุทธิไตรมาส1/67 ที่ 1.35 หมื่นล้านบาท (+26%yoy /+44%qoq) ดีกว่าคาดมาก (+27%) และสูงกว่าคาดของ Bloomberg consensus ถึง 22% สาเหตุหลักมาจากค่าใช้จ่ายดำเนินงาน (opex) และส่วนประกอบอื่นๆ ก็เป็นไปตามคาด โดยยังคงคำแนะนำ “ถือ” สำหรับ KBANK มูลค่าที่เหมาะสมเท่ากับ 140.00 บาท จากกระบวนการปรับปรุงสินทรัพย์จะดำเนินต่อไปในปีนี้ ทำให้ credit cost อยู่ในระดับบนของประมาณการ
สำหรับกรณี ITD ธนาคารได้จัดประเภทสินเชื่อเป็นระยะที่ 2 และตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญไว้แล้ว ผู้บริหารคาดการตัดจำหน่ายหนี้สูญและการขายหนี้ด้อยคุณภาพรวมกันประมาณ 30% ลดลงจาก 9.25 หมื่นล้านบาทในปีก่อน เนื่องจากใน Q1/67 มีจำนวน 1.7 หมื่นล้านบาทแล้ว ค่าใช้จ่ายดำเนินงานใน Q1/67 อยู่ในระดับต่ำตามฤดูกาล แต่จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นตลอดทั้งปี
ขณะที่ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ปรับประกาณการกำไร KBANK ขึ้นเป็น 4.7 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.8% YoY และปรับราคาพื้นฐานขึ้นเป็น 144 บาท จากเดิม 139 บาท เนื่องจากกำไรไตรมาส 1/67 ดีกว่าคาด จากค่าใช้จ่ายประกันและการตั้งสำรองต่ำกว่าคาด โดยกำไรเพิ่มขึ้น 25.6% จากรายได้ดอกเบี้ยเพิ่มและการตั้งสำรองลดลง และเพิ่มขึ้น 43.7% QoQ จากการตั้งสำรองและค่าใช้จ่ายลดลง สินเชื่อหดตัว 1% QoQ จากสินเชื่อ SME และสินเชื่อบัตรเครดิตหดตัว แต่เป็น Seasoning effect ซึ่ง KBANK ยังคงเป้าทั้งปีสินเชื่อขยายตัว 3-5% ทางด้าน NPL ยังทรงตัว ส่วนสินเชื่อ ITD อยู่ใน Stage 2 และหากตกชั้นเป็น NPL จะไม่กระทบกับการตั้งสำรองทั้งปี