นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทรีนีตี้ มองทิศทางตลาดหุ้นไทยเดือนมิถุนายน 2567 คาด SET Index จะแกว่งตัวผันผวนไปกับพัฒนาการของปัจจัยการเมืองภายในประเทศ ซึ่งในเดือนนี้จะมี 3 เหตุการณ์ที่สำคัญได้แก่
อย่างไรก็ตามมองว่าหากตัดปัจจัยการเมืองออกไป จะพบว่าปัจจัยพื้นฐานล่าสุดของตลาดหุ้นไทยยังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางไหนที่สําคัญ โดยประมาณการกําไรของบริษัทจดทะเบียน(บจ.) ในตลาดยังคงทรงตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อน เมื่อมาประกอบกับมาตรการ Uptick rule ที่คาดว่าจะถูกบังคับใช้ได้ในเดือนนี้ ทําให้ประเมิน Downside ของ SET Index ณ ปัจจุบันเริ่มอยู่ในกรอบจํากัด
Strategy : ในเชิงกลยุทธ์ แนะนํานักลงทุนที่ได้เพิ่มน้ำหนักหุ้นในกรอบ 1340-1350 จุด ในช่วงปลายเดือนก่อนตามที่ได้แนะนํา สามารถถือครองหุ้นในส่วนดังกล่าวไว้ได้ ส่วนถ้าหากเกิดความยุ่งเหยิงทางการเมืองในเดือนนี้ จนเกิดภาวะ Political discount ประเมินแนวรับสําคัญที่ไม่น่าหลุดในเดือนนี้ได้แก่บริเวณดัชนี 1300 จุด ซึ่งแนะนําใช้เป็นบริเวณแนวรับถัดไป
Picks: ประเมินกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจประจําเดือนนี้ สําหรับพอร์ตที่ต้องการ เพิ่มนํ้าหนักการลงทุนที่บริเวณแนวรับดัชนี ได้แก่
ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญที่น่าติดตามในเดือนมิถุนายน นอกเหนือจากปัจจัยการเมืองในประเทศ ได้แก่
1.ผลการประชุมกลุ่ม OPEC+ ในวันที่ 2 มิ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งล่าสุดทางกลุ่ม มีมติขยายเวลาลดกำลังการผลิตลง 3.66 ล้านบาร์เรลต่อวัน ไปจนถึงสิ้นปี 2568 และขยายเวลาลดการผลิตโดยสมัครใจอีก 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ไปจนถึงสิ้นไตรมาส 3 ปีนี้ และหลังจากนั้นจะให้ทยอยหมดอายุไปภายในหนึ่งปี ซึ่งถือว่า Bearish กว่าที่ตลาดคาดหวังไว้ ทำให้ ล่าสุดราคาน้ำมันดิบดิ่งลงอย่างรวดเร็วในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมามองเป็น Sentiment เชิงลบต่อกลุ่ม Oil & Gas ของไทยในช่วงต้นเดือนนี้
2) การประชุมธนาคารกลางยุโรปในวันที่ 6 มิ.ย. คาดว่าจะมีการลดดอกเบี้ย Deposit facility rate 0.25% สู่ระดับ 3.75%
3) การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯในวันที่ 11-12 มิ.ย. คาดว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย แต่น่าจับตาไปยังประมาณการ Dot plots รอบใหม่
4) การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของไทยในวันที่ 12 มิ.ย. คาดว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายแต่อย่างใด
5) การประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่นในวันที่ 13-14 มิ.ย. คาดว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย แต่น่าจับตาว่าจะมีการส่งสัญญาณในเชิง Hawkish บ้างหรือไม่ หลังค่าเงินเยนมีความอ่อนแออย่างมากในช่วงที่ผ่านมา
6) รายงานตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯประจำเดือนพ.ค.ในวันที่ 12 มิ.ย. ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อไปยังคาดการณ์แนวโน้มดอกเบี้ย Fed ในตลาด
7) ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจปะทุขึ้นได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะระหว่างจีนกับไต้หวัน
8) การประกาศใช้มาตรการ Uptick rule ของทางตลท.
9 ติดตามรายละเอียดกองทุนลดหย่อนภาษีรูปแบบใหม่ ว่าจะมีการเปิดเผยออกมาภายในเดือนนี้หรือไม่ หากลักษณะเหมือนกับรูปแบบกองทุน LTF เดิม ทั้งในมิติวงเงินลดหย่อนภาษีสูงสุด และระยะเวลาถือครองที่สั้นลง เมื่อเทียบกับกองทุน SSF และ ThaiESG มองจะเป็น Sentiment เชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยขึ้นมาได้บ้าง