ครบรอบ 27 ปี "วิกฤตต้มยำกุ้ง" ในวันที่ 2 กรกฏาคมนี้ นายสิทธิชัย ดวงรัตนฉายา นักกลยุทธ์อาวุโสตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ได้ให้มุมมองสะท้อนสถานการณ์เศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยปัจจุบันว่า หากเทียบเคียงกับกับช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง ยังมีความต่างกันมาก นั่นคือ
1.ช่วงวิกฤตการเงินปี 40 เศรษฐกิจไทยมีภาพของการเก็งกำไร ทั้งภาคอสังหาริมทรัพย์ ดอกเบี้ย และค่าเงิน 2.เงินทุนสำรองในช่วงเวลานั้นค่อนข้างต่ำมาก ทำให้ง่ายต่อการโจมตีค่าเงิน และความผิดพลาดในครั้งนั้นยังเกิดจากการที่ทางการเปิดเสรีทางการเงิน โดยกำหนดค่าเงินคงที่ (ฟิตเรท) บริษัทเอกชนต่างแห่ไปกู้เงินต่างประเทศในอัตราดอกเบี้ยต่ำ แต่เมื่อประกาศลอยตัวอัตราแลกเปลี่ยน หนี้สินจึงเพิ่มหลายเท่าตัว เทียบเวลานี้ค่าเงินค่อนข้างนิ่ง 3.งบดุลบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ปัจจุบันมีความแข็งแกร่งกว่า ทั้งด้านสภาพคล่อง และหนี้สินยังต่ำกว่าในอดีตมาก
"ที่สำคัญสถานการณ์เศรษฐกิจไทยปัจจุบัน ถือว่าเติบโตช้า แรงเก็งกำไรไม่แรงขนาดเทียบปี 40 valuation ตลาดหุ้นเวลานี้ก็ไม่ได้สูง ส่วนสถานการณ์ตลาดหุ้นตก จนทำให้หุ้นหลายตัวขาดสภาพคล่อง ถูก Forced Sell หรือถูกบังคับขายจากการใช้บัญชีมาร์จิ้น ส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาดกลางและเล็ก ไม่ได้เป็นหุ้นที่มีขนาดใหญ่เหมือนช่วงเวลานั้น จึงไม่มีผลมากพอที่จะทำให้ตลาดล้มครืนได้ "
นายสิทธิชัย ให้ความเห็นต่อว่า "จุดเปราะบางของตลาดหุ้นไทยเวลานี้ คือความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งรายย่อย และนักลงทุนสถาบัน เริ่มจากรายย่อยที่ไม่มีความเชื่อมั่น เพราะซื้อหุ้นไปก็ติดดอย และต่างชาติก็เข้ามาทำการชอร์ตเซล จึงทำให้คนไม่อยากเข้ามาลงทุน ทำให้เงินนักลงทุนในช่วงนี้ไม่ได้มาก เพราะส่วนหนึ่งก็ติดอยู่ในหุ้น ติดกับกองทุนที่ลง เป็นซีรีย์ตามๆกัน วิกฤตครั้งนี้จึงเป็นวิกฤติความเชื่อมั่นมากกว่า "
อย่างไรก็ดี หากมีกระแสเงินใหม่เข้ามา ดัชนี SET ไปถึงระดับ 1400 จุด เชื่อว่านักลงทุนในประเทศจะกลับเข้ามาลงทุนใหม่ มองว่าเงินทุนต่างชาติน่าจะไหลกลับเข้ามาในช่วงครึ่งหลังปีนี้ จากปัจจัยบวกทั้งแนวโน้มผลประกอบการตลาดที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าครึ่งหลังปี 67 จะเติบโตได้มากกว่า 20% บวกกับความตึงเครียดทางการเมืองที่คลี่คลายลง และการเบิกจ่ายของภาครัฐที่เร่งตัวขึ้น จะเป็นปัจจัยสนับสนุนด้านปัจจัยพื้นฐาน ทำให้ตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ และลดช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างตลาดที่มีผลการดำเนินงานดีที่สุด (ไต้หวัน, อินเดีย) และแย่ที่สุด (ไทย, อินโดนีเซีย) ในไตรมาสที่ 3 ทั้งนี้บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ประเมินเป้าหมาย SET Index สิ้นปีนี้ที่ 1,500 จุด
ด้านฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส เปิดเผยว่า ASPS ได้ประมวลภาพเม็ดเงินไหลออกจากจากตลาดการเงินไทยในหลายช่องทาง พบว่าเป็นสถานะที่น่ากังวล รวม 1,223,742 ล้านบาท (รวม 11.5 ปี) เริ่มจากในส่วนของตลาดหุ้นไทย พบว่านักลงทุนต่างชาติขายสุทธิช่วงปี 2556 ถึงสิ้นเดือนมิ.ย.2567 รวม 1,085,163 ล้านบาท ( เป็นยอดช่วงครึ่งแรกปี 67 ที่ 117,031 ล้านบาท ) และตราสารหนี้ไทย 138,579 ล้านบาท และหากพิจารณาในช่วง 1.5 ปี ( ปี 2566 - สิ้นเดือนมิ.ย.67 ) เม็ดเงินของต่างชาติไหลออกตลาดการเงิน 520,248 ล้านบาท แบ่งเป็นขายหุ้น 309,521 ล้านบาท และตราสารหนี้ไทย 210,727 ล้านบาท
ตัวเลขเม็ดเงินไหลออกดังกล่าว สะท้อนภาพความไม่เชื่อมั่นของนักลงทุน ส่งผลให้เม็ดเงินขับเคลื่อน SET INDEX หายไปในระดับหนึ่ง และกดดันจนล่าสุดลงมาอยู่ที่ระดับ 1300 จุด ซึ่งจำเป็นต้องเห็นมาตรการในการเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุนให้กลับมา อย่างไรก็ตามเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา ดังนั้นในภาวะดังกล่าวอาจทำให้การฟื้นตัวของ SET INDEX ช้าลง