ดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ปรับลดลงอย่างต่อเนื่องจากต้นปีแล้ว จนหลุดระดับ 1,300 จุดไปเมื่อสัปดาห์ก่อน ส่งผลให้กระทรวงการคลังต้องเร่งหามาตรการสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้น โดยได้ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ร่วมแถลงมาตรการขับเคลื่อนตลาดทุน เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2467
หลังจากที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2567 ปิดการซื้อขายที่ระดับ 1,306.41 จุด ลดลง 109.44 จุดจากดัชนีปิดสิ้นปีก่อนที่ 1,415.85 จุดหรือลดลง 7.73% ส่งผลให้มูลค่าตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแค็ป) ลดลง 1.26 ล้านล้านบาท
มาตรการขับเคลื่อนตลาดทุนประกอบด้วย เตรียมออกกองทุน ThaiESG แบบใหม่ ซึ่งจะปรับเงื่อนไขจาก ThaiESG เดิม คือ
นอกจากนั้นกระทรวงการคลังยังมีแนวคิดที่จะนำกองทุนรวมวายุภักษ์กลับมาใช้อีกครั้ง ซึ่งอยู่ระหว่างศึกษารายละเอียด โดยคาดว่าจะสรุปได้ในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ หลังจากช่วงที่ี่ผ่านมา กองทุนวายุภักษ์ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ไม่เพียงพอต่อความจำหน่าย ซึ่งเดิมประชาชนทั่วไปจะต้องมาลงทุน ผ่านหน่วย ก (สำหรับประชาชนทั่วไป)
ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2567 ปิดการซื้อขายที่ระดับ 1,316.73 จุด เพิ่มขึ้น 10.32 จุด หรือ 0.79% มูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 38,421.42 ล้านบาท
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐาน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ลิเบอเรเตอร์เปิดเผยว่า มองประเด็นเหล่านี้เป็น Slightly Positive เนื่องจากระยะเวลาการถือครองอยู่ในระดับที่น่าสนใจ รวมทั้งเป็นเม็ดเงินใหม่ราว 3 แสนบาทต่อคน ซึ่งคาดจะเข้ามาช่วยกระตุ้นได้
อย่างไรก็ดี สำหรับกองทุน ThaiESG มีบางส่วนที่สามารถลงทุนใน ESG Bond ได้ซึ่งจุดนี้ค่อนข้างแย่กว่า หากเทียบกับกองทุน LTF แบบเดิมที่เน้นลงทุนในหุ้นไทย โดยคาดมาตรการนี้เตรียมส่งเข้า ครม. ภายใน 1- 2 สัปดาห์ ซึ่งจะเป็นเม็ดเงินใหม่ที่เข้ามาช่วยกระตุ้นจิตวิทยาเชิงบวกได้
นอกจากนั้น การเตรียมฟื้นกองทุนรวมวายุภักษ์ใหม่ จะเป็นเม็ดเงินที่สำคัญเช่นกัน ผสานกับการยกระดับความเชื่อมั่นตลาดทุน เช่น การเตรียมเริ่มมาตรการ Uptick Rule ในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้, ทบทวนจำนวนหลักทรัพย์ที่ Short Sale ได้น้อยลง, มาตรการ Dynamic Price Band ซึ่งคาดจะช่วยให้ตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น หนุน SET ยังwปต่อ โดยประเมินต้านสำคัญถัดไปที่ระดับ 1330 จุด
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์บล.หยวนต้า(ประเทศไทย)กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยช่วงเช้าวันที่ 25 มิถุนายนปรับขึ้นตอบรับมาตรการขับเคลื่อนตลาดทุน ทั้งปรับเกณฑ์กองทุน TEGS, ฟื้นกองทุนวายุภักษ์ และเข้มมาตรการกำกับดูแล Short Selling และ HFT
รวมถึงแรง Short Covering ก่อนใช้มาตรการ Uptick เริ่มวันที่ 1 กรกฎาคมนี้ หนุนหุ้นขนาดใหญ่เริ่มเห็นการฟื้นตัว โดยเฉพาะหุ้นใน DJSI ที่ Underperform ตลาดอย่างมาก เนื่องจากจะได้แรงหนุนทั้งจาก TESG โฉมใหม่ และแรง Short Covering
นอกจากนี้ ตลาดฯยังคาดหวังรัฐบาลจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเพิ่มเติมด้วยอย่างไรก็ตาม ตลาดฯ อาจแกว่งออกด้านข้างเพื่อรอติดตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อีกทั้งยังมีแรงกดดันจากนักลงทุนต่างชาติที่ยังคงขายสุทธิหุ้นไทย
ด้านบล.กสิกรไทยระบุว่า หากดูเกณฑ์เงื่อนไข TEGS ใหม่แล้ว มีความน่าสนในขึ้นมาก เพราะจะเน้นลงทุนในไทยเช่นเดียวกับ LTF ทำให้เม็ดเงินไม่รั่วไหลไปตลาดต่างประเทศเหมือน SSF ขณะที่ด้านการถือครองเงื่อนไขใหม่ก็กำหนดเพียง 5 ปีซึ่งน้อยกว่าเงื่อนไขเดิมที่ 8 ปีและเงื่อนไขของ SSF ที่กำหนดระยะการถือครองไว้ถึง 10 ปี
นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก(GBS)กล่าวว่า ทิศทางดัชนีตลาดหุ้นไทยมีโอกาสรีบราวด์ระยะสั้น เนื่องจากมีมาตรการคุม Short Sell หุ้น โดยจะต้องเป็นกลุ่ม Non-SET100 ที่มีมาร์เก็ตแคป 5-7 พันล้านบาท และ Turnover เกิน 2% เริ่มใช้เมื่อวันที่ 21 มิถุนายนที่ผ่านมา ประกอบกับลุ้น Window Dressing ในสัปดาห์นี้ และการประกาศใช้มาตรการ Uptick Rule วันที่ 1 กรกฎาคม จะช่วยลดความผันผวนที่ผิดปกติของราคาหุ้น จึงให้กรอบดัชนีสัปดาห์นี้ที่ 1,290-1,330 จุด
นายคมศร ประกอบผลหัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU)กล่าวว่า มุมมองการลงทุนไตรมาส 3/67 คาดว่า หุ้นตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) จะกลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้น และน่าสนใจกว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จาก 3 ปัจจัยหนุนคือ แนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจที่ดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก แนวโน้มการลดลงของอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกและการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน หลังจากจีนได้ทยอยประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาอย่างต่อเนื่องในช่วงก่อนหน้า
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 44 ฉบับที่ 4,004 วันที่ 27 - 29 มิถุนายน พ.ศ. 2567