KEY
POINTS
แม้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยไทย(ตลท.) จะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังจากที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบให้ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2567 จากดัชนีก่อนหน้าที่ระดับ 1,289.84 จุด มาปิดการซื้อขายที่ระดับ 1,365.72 จุด เพิ่มขึ้นถึง 75.88 จุดหรือ 5.88% มีเพียงวันที่ 27 สิงหาคมเท่านั้น ที่ดัชนีลดลง 0.50 จุด
อย่างไรก็ตาม หากเทียบจากต้นปี ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ยังปรับลดลง 3.54% อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนยังติดลบ 0.76% และช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ดัชนีเพิ่มขึ้น 4.48% ผลตอบแทนรวม 5.14% แต่ในช่วง 1 ปีภายใต้การบริหารประเทศของพรรคเพื่อไทยดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ลดลง 12.62% และผลตอบแทนรวม -9.54%
หนึ่งในวิสัยทัศน์ของอดีตนายกรัฐมนตรี นายทักษิณ ชินวัตร ในงาน Vision for Thailand 2024 เมื่อวันที่ 22 สิงหาคมที่ผ่านมาคือ จึงต้องการเร่งฟื้นความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นกับตลาดหุ้นไทย เพื่อหยุดการขายของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งล่าสุดยังขายสุทธิ 122,531.60 ล้านบาทต่อเนื่องจากปีก่อนที่มียอดขายสุทธิ 192,489.94 ล้านบาท
นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)กล่าวว่า เศรษฐกิจไทย มีโอกาสฟื้นตัวดีขึ้นหลังจากนี้ หลักๆเพราะทางกระทรวงการคลังบ่งบอกสัญญาณที่ GDP ที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น ประกอบกับมีนโยบายสำคัญทางด้านเศรษฐกิจชัดเจน
ทั้งในเรื่องของการกำกับดูแลและสร้างความเชื่อมั่น การเดินหน้า ThaiESG และกองทุนวายุภักษ์
อีกทั้งบริษัทจดทะเบียนที่พึ่งรายงานผลประกอบการงวดครึ่งแรก 2567 ผลงานที่ออกมาพบว่ามีการเติบโตที่ดีกว่าเมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันในปีก่อนถึง 10% นับว่าเป็นการกลับมาเติบโตสูงสุดในรอบเกือบ 5 ปี นั้บตั้งแต่เกิดสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ซึ่งเป็นการเติบโตได้ทั้งยอดขาย กำไรขั้นต้น และกำไสุทธิ ทั้งกลุ่มพลังงาน อาหาร และเฮลแคร์
ขณะที่บรรยากาศตลาดหุ้นไทยภาพรวมฟื้นตัวที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความน่าสนใจในการลงทุนเริ่มมีเพิ่มมากขึ้น หลังจากที่ความไม่แน่นอนภายในประเทศลดลง แต่ก็ยังคงมีปัจจัยภายนอกที่มีผลกดดันต่อการลงทุนแทน ซึ่งกองทุนและสถาบันที่เข้าร่วมรับฟังข้อมูลในงาน Thailand Focus ครั้งนี้ค่อนข้างให้ความสนใจ ทั้งประเด็นการเมืองและทิศทางเศรษฐกิจไทยกันมาก
ทั้งนี้กลุ่มนักลงทุนที่เข้ามาร่วมงานครั้งนี้มีทั้งหมด 170 รายที่มาด้วยตัวเอง แบ่งเป็นกลุ่มกองทุน-สถาบันต่างประเทศประมาณ 50 ราย และในประเทศราว 120 ราย จากฐานลงทุนสิงคโปร์ ฮ่องกง และอังกฤษ ซึ่งยอดดังกล่าวยังไม่รวมกับกลุ่มที่เข้ารับฟังข้อมูลผ่านออนไลน์ โดยที่มีทั้งกลุ่มนักลงทุนกลุ่มเดิมผสมกับกลุ่มใหม่ร่วมด้วย
“สถานการณ์ปัจจุบันถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญตลาดหุ้นไทยที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนได้ ที่ผ่านมาผลกระทบทางเศรษฐกิจจากความไม่มั่นคงทางการเมืองทำให้ตลาดหุ้นไทยได้รับผลกระทบ แต่จากการนโยบายเศรษฐกิจที่เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น เป็นมุมมองสำคัญที่กองทุน-สถาบันจะนำไปวิเคราะห์ได้ต่อหลังจากนี้”นายภากรกล่าว
นอกจากนั้นตลท.ยังเตรียมโรดโชว์ข้อมูลให้กับนักลงทุนในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง จากในช่วงที่ผ่านมาที่ได้มีการเดินทางไปให้ข้อมูลแล้ว เช่น ออสเตรเลีย ฮ่องกง และซาอุดิอาราเบีย
ขณะเดียวกันปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์ฯ มีผลิตภัณฑ์ด้านการลงทุนกับตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อาทิ หุ้นไทยที่ไปจดทะเบียนในตลาดหุ้นสิงคโปร์และหุ้นสิงคโปร์ที่มาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย โดยตอนนี้มีตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ (DR) ทั้งหมด 45 ตัว และหวังว่าในอนาคตจะมี DR หุ้นไทยที่ไปจดทะเบียนตลาดต่างประเทศมากขึ้น
“นักลงทุนต่างชาติยังให้ความสนใจและติดตามการเปลี่ยนแปลงของไทย โดยเฉพาะในเรื่องการขับเคลื่อนนโยบายที่มีอยู่เดิมให้เดินหน้าและแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจในอนาคต ที่จะส่งผลอย่างยิ่งต่อการลงทุนและการเติบโตของประเทศและตลาดทุนไทย ในการประชุมร่วมระหว่างบริษัทจดทะเบียนกับผู้ลงทุนสถาบันก็ยังคงได้รับความสนใจเช่นกัน”นายภากรกล่าว
ด้านนายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)กล่าวว่า หลังการจัดงาน Thailand Focus 2024 คาดว่า นักลงทุนต่างชาติจะมีมุมมองต่อตลาดหุ้นไทยมากขึ้น เนื่องจากสัญญาณบวกที่ชัดเจน
ทั้งตัวเลข GDP ไตรมาส 2/2567 และกำไรบริษัทจดทะเบียนที่กลับมาเติบโตดี รวมถึงหากธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) ปรับลดดอกเบี้ยคาดว่า น่าจะส่งผลดีต่อตลาดประเทศเกิดใหม่รวมไทยด้วย
อย่างไรก็ตามประเมินว่า กำไรของบริษัทจดทะเบียน(บจ.) จะเติบโตดีต่อเนื่องช่วงครึ่งหลังปี 2567 ตามแนวโน้มการขยายตัวของ GDP ไทยที่คาดว่า ช่วงครึ่งปีหลังจะโตดีกว่าช่วงครึ่งปีแรก เพราะปกติแล้วกำไรบจ.มักเติบโตกว่า GDP ประมาณ 2-3 เท่า ประกอบกับการเติบโตของ GDP ส่วนหนึ่งมาจากกิจกรรมทางธุรกิจของบริษัทจดทะเบียนด้วย
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,023 วันที่ 1 - 4 กันยายน พ.ศ. 2567