เปิดโผหุ้นบริการท่องเที่ยว รับเหมา อสังหาฯ รับอานิสงส์ สถานบันเทิงครบวงจร

30 ส.ค. 2567 | 05:16 น.
อัปเดตล่าสุด :30 ส.ค. 2567 | 05:16 น.

จากการผลักดันโครงการ “Entertainment Complex” หรือ สถานบันเทิงครบวงจร ทำให้เหล่านักวิเคราะห์เปิดโผกลุ่มหุ้นที่ได้รับอานิสงส์หลัก กลุ่มภาคบริการ การท่องเที่ยว โรงแรม ขนส่งมวลชน ศูนย์การค้า รับเหมาก่อสร้าง และธนาคารปล่อยสินเชื่อ

จากการผลักดันโครงการ “Entertainment Complex” หรือ สถานบันเทิงครบวงจร ตามนโยบายของรัฐบาล ที่ต้องการส่งเสริมภาคการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในประเทศ ส่งผลให้ตลาดมีความเชื่อมั่นต่อการพัฒนาโครงการ Entertainment Complex มากขึ้น หลังจากที่มีการประกาศลงทุนจาก “ราชตฤณมัยสมาคมฯ” มูลค่า 2 แสนล้านบาท

นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ รองกรรมการณผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า โครงการ “Entertainment Complex” โดยที่ธุรกิจที่วางในโครงการดังกล่าว เช่น คาสิโนถูกกฎหมาย สนามม้า โรงแรม 6 ดาว สนามกอล์ฟ ยอชต์คลับ ภัตตาคารหรู โรงพยาบาล การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ศูนย์การเรียนรู้ รวมถึงกิจกรรมกีฬาและความบันเทิงอื่นๆ

ทั้งนี้ กลไกก่อนที่โครงการจะเกิดขึ้นอาจต้องใช้เวลาอีกพอสมควร และภาพการลงทุนมีโครงการ Mixed Use ที่ยังไม่รวมโครงการกาสิโนที่รอข้อกฎหมายนำไปก่อน แต่หากมองแบบอนุรักษนิยมแล้วนั้นการลงทุนก็น่าจะเกิดขึ้นหลังจากการผ่านร่าง พ.ร.บ.กฎหมายควบคุมธุรกิจดังกล่าวยังอยู่ในช่วง Public Hearing

หลังจากนั้นจะต้องผ่านกระบวนการหลักๆ เช่น การเสนอร่างกฎหมายต่อ สส. และ สว. ทั้งสิ้น 3 วาระ จากนั้นศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาร่างกฎหมาย และราชกิจจานุเบกษาประกาศใช้กฎหมาย โดยมีขั้นตอนเฉพาะโครงการ เช่น การคัดเลือกผู้ประกอบการ หากขั้นตอนต่างๆ เดินหน้าต่อ

ทางฝ่ายประเมินว่าหากโครงการ “Entertainment Complex” ถูกผลักดันให้เกิดขึ้นได้จริง จะส่งอานิสงส์เชิงบวกกับหุ้นกลุ่ม Hospitality หรืออุตสาหกรรมภาคบริการ การท่องเที่ยว การขนส่งมวลชน เป็นต้น ซึ่งนี่อาจเป็นโอกาสที่จะทำให้ BTS มีช่องทางในการขยายธุรกิจใหม่ๆ เพื่อชดเชยรายได้ที่หายไปจากการเวนคืนสัมปทานรถไฟฟ้า

แต่อย่างไรก็ดี ดูเหมือนว่าการลงทุนในโครงการ “Entertainment Complex” รัฐบาลจะเปิดโอกาสให้ต่างชาติเข้ามามีบทบาทในการลงทุนร่วมด้วย ซึ่งตอนนี้เชื่อว่าส่วนใหญ่กลุ่มทุนต่างชาติจะทราบเงื่อนไขการลงทุนไปกันเกือบหมดแล้ว เหลือแต่เพียงเอกชนไทยที่ยังไม่มีความชัดเจน

โดยเงื่อนไขในการลงทุนยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะออกมาเป็นสัญญาบริหารจัดการและการลงทุน หรือสัญญาสัมปทาน หรือใบอนุญาติ หรือการร่วมทุนคนละครึ่งกับภาครัฐ หรือสิทธิ์ในการเปิดให้บริการคาสิโน ซึ่งเป็นเรื่องที่ตอบได้ยากว่าข้อสรุปจะออกมาในทิศทางใด โดยหากว่ามาในรูปแบบของการสัมปทานก็เชื่อว่า สิทธิ์การสัมปทานจะมีจำนวนจำกัด

บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุว่า หากอิงกรณีศึกษาจากมาเก๊า ที่เริ่มอนุญาตให้เอกชนลงทุน Entertainment Complex ช่วงปี 2000-2001 หลังทยอยสร้างแล้วเสร็จปี 2006-2011 ฝ่ายวิจัยพบว่านักท่องเที่ยวปี 2011 เพิ่มขึ้นจากปี 2005 ถึงราว 49.7% ทำให้เชื่อว่าโครงการดังกล่าว จะช่วยยกระดับภาคบริการไทยขึ้นจากจุดสูงสุดในอดีต ที่มีนักท่องเที่ยวเข้าไทยสูงสุดในปี 2019 ที่ 39.4 ล้านคน

โดยประเมินโครงการขนาดย่อยที่มีจำนวนมาก และภาพยอชต์คลับน่าจะเป็นจุดบ่งชี้สถานที่เป้าหมายได้ระดับหนึ่ง ว่าควรจะเป็นที่ดินขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่ติดกับแม่น้ำ โดยในส่วนกรุงเทพ ปัจจุบันที่ดินเข้าข่าย คือ ท่าเรือคลองเตย ที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่และรัฐบาลมีแผนที่จะปรับปรุงอยู่แล้ว

กลุ่มหุ้นจึงให้น้ำหนักจิตวิทยาทางบวกต่อกลุ่มต่างๆ ดังนี้

  • หุ้นในกลุ่มที่มีฐานทุนสูงและมีกระแสข่าวเข้าร่วมโครงการ อาทิ AWC, กลุ่ม บ.อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ UTA (BA+BTS+STEC), กลุ่ม CP และกลุ่มเดอะมอลล์
  • หุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่จะมีโอกาสจาก Mega Projects ขนาดใหญ่ เน้น STEC ที่มีโอกาสเดินหน้าไปกับกลุ่ม UTA
  • หุ้นธนาคารที่คาดมีการปล่อยสินเชื่อขนาดใหญ่สนับสนุนโครงการ อาทิ BBL, KBANK, KTB
  • หุ้นภาคบริการ เน้น AOT, MINT, BDMS

บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ทางฝ่ายมองว่าการที่ภาครัฐผลักดัน โครงการ “Entertainment Complex” จะเป็นบวกต่อหุ้น GRAMMY จากการลงทุน Concert Hall และกลุ่มท่องเที่ยว จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่มากขึ้น เช่น AOT, AAV, ERW, CENTEL แต่หากก่อตั้ง Complex ใกล้สนามบินอู่ตะเภา คาดบวกต่อหุ้น BA, BTS, STEC

ในส่วน บริษัท หลักทรัพย์ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เผยว่า มองหุ้น 4 กลุ่ม ได้ประโยชน์ ได้แก่

  • กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง เช่น CK, STEC
  • กลุ่มสื่อ เช่น GRAMMY, ONEE, RS, WORK, VGI
  • กลุ่มท่องเที่ยว เช่น CENTEL, ERW, MINT

ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุว่า มองหุ้นที่ได้ประโยชน์ ได้แก่

  • AWC
  • CENTEL
  • MINT
  • ERW
  • CPN
  • AOT

ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด มองจะเป็นผลเชิงบวกต่อกลุ่มหุ้น ประกอบด้วย

  • VGI
  • กลุ่มทุนขนาดใหญ่ อย่าง AWC
  • กลุ่ม MBK ที่เชื่อมโยงกับกลุ่มสยามพิวรรธน์

แต่อย่างไรก็ดี ล่าสุด นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ทายาทเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี เปิดเผยว่า ในปัจจุบันทางบริษัทยังไม่มีแผนจะไม่ร่วมทุนพัฒนาโครงการ Entertainment Complex ที่มีคาสิโน และไม่ได้ไปร่วมทุนกับโครงการของราชตฤณมัยสมาคมฯ

เนื่องจากตอนนี้ AWC ยังคงมีโครงการที่ต้องเร่งพัฒนาตามแผนงานอีกหลายโครงการ รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก ภายใต้โมเดลการผนึกความร่วมมือกับพันธมิตรที่มีศักยภาพต่างๆ เพื่อจับกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพ และโมเดล Entertainment Complex ที่มีคาสิโน อาจจะยังไม่ได้ตรงกับโมเดลหรือคอนเซ็ปต์การลงทุนพัฒนาอสังหาฯ ของ AWC ซึ่งจะเน้นการลงทุนพัฒนาแอทแทรกชัน

การลงทุนแหล่งท่องเที่ยวเชิงเอ็นเตอร์เทนเมนต์ของ AWC จะเน้นเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพ อาทิ กลุ่มครอบครัว และกลุ่มเดินทางเชิงธุรกิจมากกว่า โดยไม่ได้เตรียมว่าจะมีคาสิโนในโครงการของ AWC เพราะไม่ตรงกับจุดยืนและเป้าหมายที่ทางบริษัทวางแผนจะพัฒนาในอนาคต

ราคาหุ้นเคลื่อนไหว

ทั้งนี้ จากโผหุ้นที่เหล่านักวิเคาะห์คาดการณ์ว่าจะได้รับอานิสงส์จากการผลักดันโครงการ "Entertainment Complex" ฐานเศรษฐกิจ ได้ทำการตรวจสอบข้อมูลการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น ณ วันที่ 30 ส.ค. 2567 พบว่า

  • บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ราคาหุ้น ณ เวลา 11.41 น. อยู่ที่ 3.44 บาท ลดลง 0.06 บาท เปลี่ยนแปลง -1.71% มูลค่าซื้อขาย 126.29 ล้านบาท
  • บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA ราคาหุ้น ณ เวลา 11.42 น. อยู่ที่ 22.30 บาท ลดลง 0.10 บาท เปลี่ยนแปลง -0.45% มูลค่าซื้อขาย 23.36 ล้านบาท
  • บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS ราคาหุ้น ณ เวลา 11.43 น. อยู่ที่ 4.24 บาท ลดลง 0.04 บาท เปลี่ยนแปลง -0.93% มูลค่าซื้อขาย 82.58 ล้านบาท
  • บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC ราคาหุ้น ณ เวลา 11.44 น. อยู่ที่ 8.55 บาท เพิ่มขึ้น 0.05 บาท หรือเปลี่ยนแปลง 0.59% มูลค่าซื้อขาย 4.78 ล้านบาท
  • บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK ราคาหุ้น ณ เวลา 11.45 น. อยู่ที่ 18.90 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท เปลี่ยนแปลง 0.53% มูลค่าซื้อขาย 10.80 ล้านบาท
  • บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ราคาหุ้น ณ เวลา 11.46 น. อยู่ที่ 59.75 บาท โดยราคาหุ้นไม่มีการเปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ 207.75 ล้านบาท
  • บริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AAV ราคาหุ้น ณ เวลา 11.47 น. อยู่ที่ 2.36 บาท เพิ่มขึ้น 0.04 บาท เปลี่ยนแปลง 1.72% มูลค่าซื้อขาย 11.13 ล้านบาท
  • บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT ราคาหุ้น ณ เวลา 11.48 น. อยู่ที่ 26.75 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท เปลี่ยนแปลง 0.94% มูลค่าซื้อขาย 200.19 ล้านบาท
  • บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW ราคาหุ้น ณ เวลา 11.48 น. อยู่ที่ 3.76 บาท ลดลง 0.02 บาท เปลี่ยนแปลง -0.53% มูลค่าซื้อขาย 13.83 ล้านบาท
  • บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL ราคาหุ้น ณ เวลา 11.49 น. อยู่ที่ 35.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท เปลี่ยนแปลง 0.71% มูลค่าซื้อขาย 10.82 ล้านบาท
  • บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน) หรือ BDMS ราคาหุ้น ณ เวลา 11.50 น. อยู่ที่ 28.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท เปลี่ยนแปลง 0.90% มูลค่าซื้อขาย 171.45 ล้านบาท
  • บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GRAMMY ราคาหุ้น ณ เวลา 11.51 น. อยู่ที่ 7.10 บาท โดยราคาไม่มีการเปลี่ยนแปลง มูลค่าซื้อขาย 0.16 ล้านบาท
  • บริษัท เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ONEE ราคาหุ้น ณ เวลา 11.52 น. อยู่ที่ 3.54 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท เปลี่ยนแปลง 2.91% มูลค่าซื้อขาย 12.44 ล้านบาท
  • บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ RS ราคาหุ้น ณ เวลา 11.52 น. อยู่ที่ 11.70 บาท ลดลง 0.20 บาท เปลี่ยนแปลง -1.68% มูลค่าซื้อขาย 20.29 ล้านบาท
  • บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ WORK ราคาหุ้น ณ เวลา 11.53 น. อยู่ที่ 9.65 บาท โดยราคาไม่มีการเปลี่ยนแปลง มูลค่าซื้อขาย 0.40 ล้านบาท
  • บริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ VGI ราคาหุ้น ณ เวลา 11.54 น. อยู่ที่ 2.46 บาท เพิ่มขึ้น 0.06 บาท เปลี่ยนแปลง 2.50% มูลค่าซื้อขาย 381.66 ล้านบาท
  • ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL ราคาหุ้น ณ เวลา 11.55 น. อยู่ที่ 141.50 บาท ลดลง 0.50 บาท เปลี่ยนแปลง -0.35% มูลค่าซื้อขาย 259.41 ล้านบาท
  • ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK ราคาหุ้น ณ เวลา 11.56 น. อยู่ที่ 144.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท เปลี่ยนแปลง 0.35% มูลค่าซื้อขาย 408.86 ล้านบาท
  • ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB ราคาหุ้น ณ เวลา 11.57 น. อยู่ที่ 18.40 บาท ลดลง 0.30 บาท เปลี่ยนแปลง -1.60% มูลค่าซื้อขาย 366.59 ล้านบาท
  • บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN ราคาหุ้น ณ เวลา 12.07 น. อยู่ที่ 59.75 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท เปลี่ยนแปลง 0.42% มูลค่าซื้อขาน 50.32 ล้านบาท
  • บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) หรือ MBK ราคาหุ้น ณ เวลา 12.07 น. อยู่ที่ 17.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท เปลี่ยนแปลง 0.57% มูลค่าซื้อขานย 9.56 ล้านบาท