นางประวีรัตน์ เทวอักษร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วิลล่า คุณาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ KUN เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้อนุมัติการย้ายหลักทรัพย์ KUN เข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เป็นวันแรก โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 11 กันยายน 2567 ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง
โดยคุณสมบัติที่ผ่านเกณฑ์ ทำให้ KUN ได้ย้ายเข้า SET สะท้อนถึงศักยภาพการเติบโตทางธุรกิจ และผลการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญการย้ายกระดานเทรดในครั้งนี้เป็นการเพิ่มสภาพคล่อง และเพิ่มเสถียรภาพของบริษัทฯ รวมถึงยังช่วยลดข้อจำกัดในการเข้าลงทุน และยังสามารถดึงดูดให้กลุ่มกองทุน นักลงทุนสถาบันทั้งในประเทศและต่างประเทศ หันมาลงทุนในหุ้น KUN ได้มากยิ่งขึ้น
แผนการดำเนินงานใน 3 ปีข้างหน้า (2567-2569) บริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้ไว้แตะระดับไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท และจะสร้างรายได้อย่างต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาทต่อปี สำหรับในปี 2567 นี้ บริษัทคาดรายได้จะทำได้มากกว่า 800 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายรอการโอนกรรมสิทธิ์ (Backlog) อยู่ในมือที่ประมาณ 300 ล้านบาท
เบื้องต้นคาดว่าจะสามารถทยอยโอนกรรมสิทธิ์เข้ามาได้ในช่วงไตรมาส 3/2567 และไตรมาส 4/2567 ทั้งหมด ทำให้รายได้ในปีนี้จะทำได้ตามเป้า 820 ล้านบาท เติบโต 10-15% และในปี 2568 บริษัทตั้งเป้าการเติบโตของรายได้จะเพิ่มเป็นมากกว่า 900 ล้านบาท ขณะที่ยอดขายนับตั้งแต่ต้นปี 2567 มาจนถึงปัจจุบัน ทำได้แล้วเกือบ 1,000 ล้านบาท จากเป้ายอดขายปีนี้ที่วางไว้ 1,600 ล้านบาท
ขณะเดียวกันบริษัทมีแผนร่วมมือกับพันธมิตร ในการพัฒนาโครงการบ้านผู้สูงอายุ จากเทรนด์ของสังคมผู้สูงอายุ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาและเจรจากับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพ เบื้องต้นคาดว่าจะสามารถเริ่มต้นการพัฒนาได้ภายในปี 2571 เป็นต้นไป โดยที่บริษัทมีที่ดินเป็นจำนวนมาก ส่วนการสร้างบ้านผู้สูงอายุเฉลี่ยแปลงละ 3-5 ไร่
สำหรับแนวโน้มไตรมาส 4/2567 ต่อเนื่องไตรมาส 1/2568 จะเป็นช่วงที่ไฮซีซันของการซื้อบ้าน ทำให้มีความมั่นใจในการซื้อบ้านของลูกค้ามากขึ้น ประกอบกับความคาดหวังในการที่ภาครัฐจะมีการขับเคลื่อนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาทำให้ผู้ที่ต้องการซื้อบ้านมีความมั่นใจมากขึ้น พร้อมกับคาดหวังจะเห็นการที่ปลดล็อกเกณฑ์ LTV ทำให้ผู้ซื้อมีความสามารถในการกู้มากขึ้น
ในส่วนแผนการเปิดโครงการใหม่นั้น บริษัทจะเน้นพัฒนาโครงการในที่ดินที่บริษัทมีอยู่ ซึ่งตอนนี้มีเพียงพอรองรับการพัฒนาโครงการใหม่ได้อีกหลายปี ควบคู่กับการร่วมมือกับเจ้าของที่ดินที่สนใจอยากพัฒนาโครงการที่ต้องการเข้ามาร่วมทุน ซึ่งเป็นแนวทางการดำเนินธุรกิจที่ทำให้บริษัทสามารถรักษาความสามารถในการทำกำไรในระดับที่สูงได้ อย่างไรก็ดี บริษัทตั้งเป้ามีอัตรากำไรสุทธิไว้ที่ประมาณ 12% ต่อปี