นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม กรรมการบริหาร สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด เปิดเผยว่า ประเมินภาพรวมตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 4/67 คาดว่าจะมีทิศทางที่ดี และยังคงเป็นขาขึ้น แม้ว่าในช่วงระยะสั้นอาจมีเรื่องปัจจัยการประกาศงบผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนอาจเข้ามากดดันบ้าง เนื่องจากตามปกติแล้วไตรมาส 3/67 จะเป็นโลวซีซัน
แต่หลังพ้นช่วงประกาศงบไปแล้ว หรือกลางเดือนพ.ย.67 มีโอกาสที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ และมีลุ้นที่ยืนที่ระดับเหนือ 1,511-1,523 จุดในสิ้นปีนี้ รับแรงหนุนจากปัจจัยพื้นฐาน การประกาศนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ รวมถึงสภาพคล่องที่ไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง ทั้งจากฟันด์โฟลว์ต่างชาติ
ตลอดจนเม็ดเงินกองทุนวายุภักษ์ และกองทุน TESG เกิน 1.7 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนสำคัญช่วยพยุงตลาดหุ้นไทยมีโอกาสผันผวนน้อยลง มองว่าทิศทางดอกเบี้ยทั่วโลกที่อยู่ในช่วงขาลงมักสนับสนุนให้ตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดดอกเบี้ยลงอีก 2 ครั้ง ในรอบการประชุมช่วงที่เหลือของปี 67 นี้ คือ ในเดือน พ.ย. และ ธ.ค.67
ด้านอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยนั้น คาดว่าที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะลดดอกเบี้ยลง 1 ครั้ง ในรอบเดือน ธ.ค.67 นี้ สำหรับเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือปี 67 นี้ มองว่าจะเติบโตได้ต่อเนื่อง ตามนโยบายการตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น มีเม็ดเงินเติมเข้ามาในเครื่องยนต์เศรษฐกิจทั้ง 4 ตัว โดยคาดตัวเลข GDP ปีนี้จะขยายตัวเฉลี่ย 2.6% และปี 68 โตเฉลี่ย 3%
ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยวางเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยปี 68 จะอยู่ที่ระดับ 1,700 จุด โดยมีปัจจัยหนุนตลาดจากกำไรกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่เติบโตระดับ 8% และทิศทางดอกเบี้ยที่ปรับตัวลดลง ซึ่งในส่วนดอกเบี้ยนโยบายของไทยคาดว่าปีหน้าจะลดระดับลงมาอยู่ที่ประมาณ 1.25-1.50% รวมถึงอัตราการเติบโตของ GDP ไทยที่ฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง
ขณะที่ บจ. ในช่วงครึ่งหลังปี 67 นั้น คาดว่าจะทำได้ราว 5.9 แสนล้านบาท หรือเติบโตเฉลี่ยราว 11% เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก และโต 27% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน เพราะฐานกำไรช่วงไตรมาส 4/66 ที่ค่อนข้างต่ำ ที่ระดับ 4.6 แสนล้านบาท โดยเฉพาะกำไรงวดไตรมาส 4/66 ที่ต่ำเพียง 1.7 แสนล้านบาท หนุนกำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโตได้ดีเช่นกัน
นอกจากนี้ ประเมินว่าราคาน้ำมันดิบโลกในช่วงที่เหลือของปีนี้จะอยู่ที่เฉลี่ยบวกลบ 80 เหรียญ/บาร์เรล โดยหากว่าทางฝั่งตะวันออกกลางยังคงไม่สามารถยุติปัญหาสงครามได้ และยังมีการใช้ความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง ก็อาจทำให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งไปที่เหนือระดับ 100 เหรียญ/บาร์เรล ได้ ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเฝ้าติดตาม เพราะจะส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้อ รวมถึงทำให้ทิศทางดอกเบี้ยขาลงอาจจบลง
ส่วนค่าเงินบาทนั้น ปัจจุบันกลับมาอยู่ในโซนที่อ่อนค่าแล้ว หลังจากที่แข็งค่าไปถึงระดับเฉลี่ย 32 บาท โดยมองว่าเงินบาทมีแนวโน้มที่จะอ่อนค่าลง ตามช่องว่างระหว่างพันธบัตรไทยและสหรัฐฯ ที่ลดลง ซึ่งมองว่าเงินบาทในระดับที่ประมาณ 33 บาท อยู่ในโซนที่มีความเหมาะสม
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายวิจัยแนะนำสะสมหุ้นพื้นฐานแกร่ง กำไรปี 68 มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี และมี ESG Rating สูง ได้แก่ BEM, GPSC, AOT, AP, BJC, PLANB และ CBG