ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการ บริษัท ทรีนีตี้วัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ TNITY เปิดเผยว่า หลังจากที่่ทางคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25%ต่อปี มีผลทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับระดับลดลงจาก 2.50% ต่อปี มาสู่ 2.25%ต่อปีนั้น
มองว่าเป็นการสร้างเซอร์ไพรส์ให้กับตลาดหุ้นไทย (SET Index) ในภาคบ่ายวันนี้ ทำให้ดัชนี้ปรับตัวพุ่งขึ้นไป 20-21 จุด เนื่องจากตลาดคาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่า กนง. จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปลายปี 67 นี้ลง 1 ครั้ง ในช่วงเดือนธ.ค. และจะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้
ทั้งนี้ คาดว่าจากนี้ไปจะเห็นระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่เอื้อให้เศรษฐกิจเติบโตยั่งยืน และอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่เป้าหมาย (Neutral rate) ที่มีความเป็นกลางต่อเศรษฐกิจไทย ในระดับที่ประมาณ 2% ได้ และการลดดอกเบี้ยลงส่งผลให้ส่วนต่างผลตอบแทนระหว่างสินทรัพย์เสี่ยงกับสินทรัพย์ไม่มีความเสี่ยง (Earning yield gap) ปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น
ดังนั้น ตลาดทุนไทยเองจึงมีการตอบสนองในทิศทางที่เป็นบวก ทำให้คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปี 67 จะยืนได้เหนือระดับ 1,520 จุดได้ แต่อาจต้องขึ้นอยู่ที่ว่า Consensus นักวิเคราะห์จะปรับเป้าหมายกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) เพิ่มขึ้นหรือลดลงมากน้อยแค่ไหน หลังจากที่มีการประกาศงบผลการดำเนินงาน ของไตรมาส 3/67 บจ. จบลงด้วยหรือไม่
"ตลาดมองว่า กนง. ลดดอกเบี้ยในปลายปี 67 นี้แน่ 1 ครั้งในเดือนธ.ค. แต่ผลวันนี้ออกมาสร้างเซอร์ไพรส์ให้กับตลาดหุ้นไทย ดีดตัวขึ้นไปได้กว่า 21 จุด ดังนั้น ในเดือนธ.ค.นี้คาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยมากกว่าจะปรับลดซ้ำอีก เชื่อว่าทาง กนง. เองก็ต้องมีการประเมินสถานการณ์และความเหมาะสมต่อสภาพเศรษฐกิจอย่างถี่ถ้วนในทุกๆ มุม และในปี 68 จะลดดอกเบี้ยลงอีก 1 ครั้ง 0.25% ลงมาอยู่ที่ระดับ 2%"
หุ้นกลุ่มที่คาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ได้แก่ กลุ่มไฟแนนซ์ เพราะจะทำให้ต้นทุนทางการเงินปรับตัวลดลง เมื่อเศรษฐกิจดีขึ้น ประชาชนมีรายได้ที่เพิ่มขึ้น ก็จะหนุนให้ความสามารถในการชำระหนี้กลับมาดีขึ้นตามไปด้วย โดยแนะนำ MTC SAWAD ขณะเดียวกันกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) อย่าง TFFIF ก็มีความน่าสนใจเช่นเดียวกัน
ในขณะเดียวกันหุ้นกลุ่มแบงก์อาจได้รับผลกระทบจากการลดดอกเบี้ย เพราะทำให้ส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม ทางฝ่ายประเมินกรอบดัชนีตลาดหุ้นไทยสิ้นปี 67 ไว้ที่ระดับ 1,500-1,520 จุด
ส่วนการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในครั้งนี้ของไทยจะมีผลอย่างไรต่อค่าเงินบาทนั้น แน่นอนว่าจะทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง แต่เชื่อว่าในระยะสั้นเท่านั้น เพราะในช่วงที่ผ่านมาค่าเงินบาทมีการปรับตัวลดลงไปพอสมควรแล้ว หลังจากนี้คงต้องไปดูว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะมีการปรับลดดอกเบี้ยแรงอีกครั้งในปลายปีนี้หรือไม่ แต่ทางฝ่ายคาดว่าการปรับลดลงอาจอยู่ที่ระดับ 0.25%
ในด้านความน่าสนใจลงทุนของต่างชาติต่อตลาดหุ้นไทยนั้น มองว่าในระยะสั้นอาจยังไม่เห็นการไหลกลับเข้ามาซื้อของ Fund flow และยังคงเห็นภาพการขายสุทธิอยู่ เนื่องจากความน่าสนใจตลาดหุ้นไทยเมื่อเทียบกับตลาดใหญ่อย่างจีนและฮ่องกง ที่มีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็ต้องยอมรับว่าเรามีน้อยกว่า
แต่จากนี้คงต้องรอดูหลังการเลือกตั้งสหรัฐฯ ว่าทิศทางจะเป็นอย่างไร หากว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับเลือกให้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้ง ความรุนแรงของสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ จะยิ่งมีความเข้มข้นขึ้น ซึ่งไม่เป็นผลดีกับจีนอย่างแน่นอน