นายเสริมศักดิ์ วงศ์สิทธิโชค ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายค้าตราสารการเงิน บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 67 ประเมินแนวโน้มตลาดหุ้นทั่วโลกมีโอกาสปรับฐานจากความเสี่ยงเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง
อีกทั้งในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนทำให้มูลค่า (Valuation) หลายตลาดค่อนข้างตึงตัวมากแล้ว จึงมีความเสี่ยงต่อการถูกขายทำกำไรในระยะถัดไป ดังนั้นจึงเห็นควรว่าในการลงทุนนั้นควรเป็นการกระจายความเสี่ยงออกไปยังภูมิภาคต่างๆ และมุ่งเน้นในตลาดประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งยังคงให้อัตราผลตอบแทนที่สูงอยู่
ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ทางการเงินช่วยบริหารจัดการภาษีและเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนระยะยาว แนะนำกระจายน้ำหนักการลงทุนไปยัง “กองทุนลดหย่อนภาษี” เช่น กองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว (SSF), กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) หรือกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม แนะนำจัดพอร์ตตามความเสี่ยง โดยสามารถนำกองทุน SSF, RMF และ Thai ESG ตัวท็อปผลงานเด่นในข้างต้นที่คัดสรรโดยทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนมาผสมสัดส่วนการลงทุนกับกองทุนตราสารหนี้ผลงานดี เพื่อสร้างสมดุลให้กับพอร์ตตามความเสี่ยงที่รับได้ในระดับต่ำ กลาง และสูง แนะนำกองทุน KFAFIXSSF และ KKP INRMF ที่ลงทุนในตราสารหนี้ระยะกลางคุณภาพดีทั้งภาครัฐฯ และเอกชน
นับตั้งแต่ต้นปี 67 จนถึงปัจจุบันตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ และยุโรป มีการให้อัตราผลตอบแทนที่ค่อนข้างโดดเด่นมากกว่า 20% และราย10% ตามลำดับ ขณะที่ตลาดหุ้นไทยเฉลี่ยประมาณ 3-4% ส่วนตลาดหุ้นจีนเองเพิ่มกลับมาดีขึ้นได้หลังจากที่รัฐบาลออกมาตรการบาซูก้ากระตุ้นเศรษฐกิจ
แม้ว่าประเทศสหรัฐฯ จะเพิ่งผ่านเหตุการณ์การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ แต่ด้วยนโยบายการลดภาษีนิติบุคคลของทรัมป์ ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นรับมาตรการดังกล่าว และคาดว่าอาจจะช่วยหนุนตลาดหุ้นสหรัฐฯไปได้ต่ออีกประมาณ 2-3 เดือนข้างหน้า
สำหรับในปี 68 มองว่าการลงทุนนั้นยังคงต้องมีการจัดพอร์ตกระจายความเสี่ยงการลงทุนไปในหลายๆ ภูมิภาค และเลือกหลากหลายผลิตภัณฑ์กองทุนเพื่อเป็นการล็อคความเสี่ยง เพราะมองว่าในปี 68 ทั้งเศรษฐกิจและตลาดหุ้นทั่วโลกยังดูมีความผันผวนอยู่ ซึ่งที่เกิดขึ้นแน่ๆ คือสงครามราคา และสงครามการค้า