ต้องยอมรับว่าสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันมีความอ่อนไหวอย่างมาก และค่อนข้างเปราะบางต่อสิ่งเร้าแม้เป็นเพียงสิ่งเล็กๆ ในขณะเดียวกันปัจจัยภายนอกที่อยู่เหนือการควบคุมก็ดูจะไม่เป็นใจต่อการลงทุน มีความผันผวนและไม่แน่นอนสูง ทั้งเรื่องนโยบายการค้า ภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้เงินทุนต่างชาติหันหัวไหลออกจากตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง
เพียงเท่านั้นก็สร้างรอยแผลให้ตลาดหุ้นไทยไปพอสมควรแล้ว แต่ด้วยความเชื่อมั่นในตลาดทุนไทยที่ถดถอยลง ท่ามกลางกระแสข่าวเชิงลบของเหล่าบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่มีเข้ามาซ้ำเติมอย่างต่อเนื่อง ทั้งเรื่องอินไซเดอร์ ปั่นหุ้น ฉ้อโกง ฟอกเงิน ฯลฯ ซึ่งยิ่งเหมือนแรงซ้ำเติมทำให้ตลาดหุ้นไทยทรุดตัวลง
เป็นผลให้ในช่วงที่ผ่านมาทั้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ร่วมหารือกันเพื่อหาแนวทางในการสร้างเสถียรภาพ รวมถึงเร่งฟื้นความเชื่อมั่น (Trust and Confidence) กลับคืนสู่ให้กับตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบันกระทรวงการคลังร่วมกับสำนักงาน ก.ล.ต. อยู่ระหว่างการปรับปรุงแก้กฎหมาย โดยดึงบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของ Trust and Confidence เพื่อออกเป็นพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เพราะสามารถทำได้เร็วกว่าการแก้กฎหมายพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) เพื่อเพิ่มอำนาจให้สำนักงาน ก.ล.ต. บังคับใช้กฎหมายให้สั่งการและดำเนินการได้
โดยเฉพาะในกรณีที่มีผลกระทบสูง (High Impact) หรือเป็นเรื่องใหญ่ อาทิ การปั่นหุ้นหรือกระทำการไม่เป็นธรรมในตลาดหุ้นไทย เพื่อเป็นออปชัน ทั้งนี้ กฎหมายฉบับใหม่ดังกล่าวจะเป็นการเพิ่มอำนาจเปิดให้ ก.ล.ต. สามารถเตรียมทำสำนวนคดีอาญาและร่วมสอบสวนได้เอง ส่งผลให้ระยะเวลาในการดำเนินคดีลดลงอย่างมาก
และจะช่วยให้การดำเนินการในแต่ละคดีเข้าสู่กระบวนการบังคับใช้ทางกฎหมายและยื่นฟ้องร้องต่อศาลได้เร็วขึ้นอย่างน้อย 6-7 เดือน คดีที่ไม่มีการจับกุมคุมขังอาจลดระยะเวลาให้เร็วขึ้นจากเดิมเกือบ 1 ปี แต่การส่งฟ้องคดียังเป็นอำนาจหน้าที่ของอัยการ
"สำหรับคดีที่เข้าข่ายกรณี High Impact นั้น เบื้องต้นจะออกเป็นเกณฑ์โดยพิจารณาจากมูลค่าความเสียหาย จำนวนผู้เสียหาย และปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคณะกรรมการ ก.ล.ต. จะพิจารณากำหนดร่วมกันอีกครั้ง"
ขณะที่กระบวนการออก พ.ร.ก. ภายหลังจาก ครม. มีมติเห็นชอบแล้ว จะส่งร่างกฎหมายไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อตรวจร่าง จากนั้นจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ และประกาศในราชกิจจานุเบกษา และจะมีผลบังคับใช้ได้ทันที
วัตถุประสงค์ในการเพิ่มอำนาจ ก.ล.ต. ในครั้งนี้ เนื่องจากที่ผ่านมามีหลายคดีที่เกี่ยวกับตลาดหุ้นไทยเกิดขึ้นหลายคดี แต่ด้วยกระบวนการและขั้นตอนที่การทำงานของหลายหน่วยงาน ทำให้การดำเนินคดีมีความล่าช้า ดังนั้น เป้าหมายคือต้องการ ก.ล.ต. มีความคล่องตัว (Agility) ในการดำเนินการในเรื่องต่างๆ ได้อย่างเท่าทันเหตุการณ์
ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ ทั้งการสร้างธรรมาภิบาลในตลาดทุนผ่านมาตรการต่างๆ ที่มีอย่างต่อเนื่อง การพัฒนากฎกติกาให้เป็นมาตรฐาน สามารถตรวจสอบ ป้องกัน และลดความเสียหายได้ เช่น การจัดทำเกณฑ์การจำนำหุ้นที่จะออกมาในเร็วๆ นี้ การดำเนินการด้าน Trust and Confidence ยังมีเป้าหมายสำคัญคือ ความยุติธรรม (Justice) ที่ต้องไม่ล่าช้า
แผนยุทธศาสตร์ ก.ล.ต. ปี 2568-2570 มีเป้าหมายหลัก 5 ด้าน ได้แก่
แต่อย่างไรก็ดี ก็ยังมีหลายฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการเพิ่มอำนาจแบบเบ็จเสร็จให้กับ ก.ล.ต. ซึ่งจากนี้คงต้องจับตารอดูต่อไปว่าจะมีความเป็นไปได้ หรือชัดเจนมากน้อยแค่ไหน แต่หากการดำเนินคดีมีความกระชับ ลดระยะเวลาได้มากยิ่งขึ้นเท่าไหร่ ความเสียหายในตลาดทุนไทย รวมถึงนักลงทุนผู้ได้รับความเสียหายก็จะลดน้อยลงได้มากขึ้นเท่านั้น