วันนี้ (27 มีนาคม 2568) นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบร่าง พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่..) พ.ศ. .... โดยขั้นตอนต่อไปจะส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจร่าง พ.ร.ก.และคาดว่าจะประกาศใช้ได้ภายใน 2-3 สัปดาห์ ซึ่งจากมาตรฐานกฎหมายที่มีการปรับปรุงนี้เชื่อว่าจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดหุ้นและตลาดทุนมากขึ้น
สำหรับเหตุผลของการออกร่าง พ.ร.ก. ฉบับนี้ เพราะที่ผ่านมามีเหตุการณ์ที่กระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนและความน่าเชื่อถือในตลาดทุน เช่น short sale และ naked short sale มีส่วนทำให้ดัชนีหุ้นไทยลดลงจากระดับ 1,600 จุดมาอยู่ในระดับปัจจุบัน
อีกทั้งยังมีการทุจริตฉ้อฉลของบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชัน จำกัด (มหาชน) และการสร้างราคาหรือปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียน กรณีบริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีมูลค่าความเสียหายรวมกันทั้งสิ้นจำนวน 15,708 ล้านบาท
ขณะเดียวกันยังมีกรณีผู้ประกอบวิชาชีพในตลาดทุนปฏิบัติหน้าที่โดยบกพร่อง และการถูกบังคับขายหุ้นที่นำไปจำนำหรือก่อภาระผูกพัน อันส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นและโครงสร้างการถือหุ้นของบริษัทจดทะเบียน
ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นถึงการขาดประสิทธิผลของการบังคับใช้กฎหมาย และความไม่เพียงพอของมาตรการทางกฎหมายที่เป็นเครื่องมือในการกำกับดูแล หากสถานการณ์ดังกล่าวไม่ได้รับการแก้ไขมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อปริมาณและมูลค่าการลงทุนในตลาดทุนไทย และอาจนำมาซึ่งความเสี่ยงเชิงระบบที่กระทบต่อเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจและต่อประชาชนโดยรวม
ด้วยเหตุนี้จึงมีความจำเป็นต้องแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน เพื่อให้มีบทบัญญัติที่สามารถยับยั้งและปราบปรามการกระทำความผิดในตลาดทุนเพื่อรักษาความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ เสริมสร้างความเชื่อมั่นต่อตลาดทุนไทย และช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจและตลาดทุนไทยให้กลับมามีเสถียรภาพได้อย่างรวดเร็ว
ความสำคัญ ร่าง พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ. หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์เดิม ซึ่งเป็นการเพิ่มอำนาจให้กับ ก.ล.ต.โดยเฉพาะในการตรวจสอบ และดำเนินคดีควบคู่กับ เจ้าหน้าที่ตำรวจ และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ในธุรกรรมที่น่าสงสัยในตลาดหุ้นที่มีแนวโน้มจะสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงให้กับตลาดหุ้นและนักลงทุน
กรณีนี้จะครอบคลุมไปถึงประเด็นที่เป็นปัญหาเช่น ผู้สอบบัญชี ซึ่งเดิมนั้นจะเอาผิดเฉพาะบุคคลที่มีส่วนช่วยในการตกแต่งบัญชี หรือไม่รายงานข้อมูลที่ผิดปกติ โดยจะใช้มาตรฐานเดียวกับต่างประเทศที่เอาผิดไปยังบริษัทต้นสังกัดของผู้สอบบัญชีนั้น ๆ เพราะว่าที่ผ่านมาข้อมูลที่ผ่านออกจากผู้สอบบัญชีอย่างไม่ถูกต้องจะถูกนำไปใช้ประโยชน์ในการสร้างราคาหุ้น
สำหรับในส่วนของหุ้นกู้ที่มีปัญหาในส่วนนี้กฎหมายที่มีการปรับเปลี่ยนก็จะให้อำนาจ ก.ล.ต.เข้าไปตรวจสอบในส่วนของในส่วนของผู้แทนถือหุ้นกู้ด้วยว่าอยู่ในข่ายที่จะได้รับความคุ้มครองหากเกิดความเสียหายกับนักลงทุนหรือไม่
เช่นเดียวกับกรณีของการที่เจ้าของบริษัทนำหุ้นจำนวนมากไปจำนำนอกตลาด กำหนดให้มีหน้าที่ต้องรายงานมายัง ก.ล.ต.เพราะไม่เช่นนั้นกว่านักลงทุนจะรู้ก็เกิดความเสียหายแล้ว เรื่องเหล่านี้กฎหมายจะให้อำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบไว้ด้วยเพื่อให้เกิดความโปร่งใสในตลาดมากขึ้น
สำหรับร่าง พ.ร.ก. ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีรายละเอียดสำคัญรวม 7 ประเด็น ดังนี้
1.การเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจสอบและการกำกับดูแลการขายหลักทรัพย์โดยหลักทรัพย์อยู่ในครอบครอง (การขายชอร์ต)
ทั้งนี้เพื่อให้การกำกับดูแลการซื้อขายหลักทรัพย์ในลักษณะการขายชอร์ต ภายใต้หลักการร่าง พ.ร.ก. นี้เกิดความเชื่อมั่นได้ว่า สำนักงาน ก.ล.ต.ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลสามารถได้มาซึ่งข้อมูลที่จำเป็นต่อการตรวจสอบการขายชอร์ตอย่างครบถ้วนและบังคับใช้กฎหมายได้อย่างทันท่วงที ซึ่งจะเป็นการรักษาความเชื่อมั่นในการรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยของการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ได้ โดยเพิ่มบทบัญญัติ ดังนี้
1.1 เพิ่มหน้าที่ผู้ลงทุนในการขายหลักทรัพย์ที่ยังไม่มีหลักทรัพย์นั้นอยู่ในครอบครองต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่ คณะกรรมการกำกับตลาดทุนประกาศกำหนด เช่น ต้องแสดงได้ว่ามีการยืมหลักทรัพย์ก่อนส่งคำสั่ง เป็นต้น เพื่อให้เป็นไปในแนวทางเดียวกับการกำกับดูแลการขายชอร์ตของสากล
1.2 เพิ่มหน้าที่ของผู้ให้บริการในต่างประเทศซึ่งทำหน้าที่รับฝากหลักทรัพย์ (custodian) หรือถือครองหลักทรัพย์แทนบุคคลอื่น (nominee service) หรือบริการอื่นใดให้รายงานข้อมูลเกี่ยวกับผู้รับประโยชน์ที่แท้จริง ต่อ สำนักงาน ก.ล.ต.
1.3 เพิ่มบทยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลสำหรับการเปิดเผย การแลกเปลี่ยน การเข้าถึง ตลอดจนการเก็บ การรวบรวมหรือการใช้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้รับประโยชน์ที่แท้จริง แต่ผู้ใต้รับหรือครอบครองร้องจะเปิดเผยให้บุคคลอื่นในชื่อที่ไม่เกี่ยวข้องทราบไม่ได้
1.4 กำหนดโทษทางอาญาและการเปรียบเทียบปรับสำหรับผู้ที่ขายชอร์ตโดยฝ่าฝืน หลักเกณฑ์ที่ คณะกรรมการกำกับตลาดทุนกำหนด หรือแสดงข้อความอันเป็นเท็จโดยการปกปิดความจริง ซึ่งควรบอกให้แจ้งในสาระสำคัญ หรือโดยประการอื่นที่น่าจะกระทบต่อเสถียรภาพต่อตลาดทุนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับเป็นเงินไม่เกิน 2 เท่าของราคาขายของหลักทรัพย์ทั้งหมด
แต่ทั้งนี้เงินค่าปรับต้องไม่น้อยกว่า 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ รวมทั้งการฝ่าฝืนหน้าที่การรายงานข้อมูลเกี่ยวกับผู้รับผลประโยชน์ที่แท้จริงต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 300,000 บาทและปรับอีกไม่เกินวันละ 10,000 บาท ตลอดเวลาที่ยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง
2.การยกระดับการทำหน้าที่ของผู้ประกอบวิชาชีพในตลาดทุน
เพื่อเพิ่มความเข้มแข็งของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียน โดยกำหนดเพิ่มเติมให้ผู้ประกอบวิชาชีพในตลาดทุน (เช่น ผู้สอบบัญชีและสำนักงานสอบบัญชี ที่ปรึกษาทางการเงิน ผู้ประเมินราคาทรัพย์สิน) ต้องได้รับความเห็นชอบจาก สำนักงาน ก.ล.ต.
เพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของ สำนักงาน ก.ล.ต. ในการมีหนังสือเตือน การสั่งให้แก้ไข การเสนอมาตรการแก้ไขด้วยตนเองได้ (Enforceable taking) และการสั่งจำกัดหรือพักการประกอบการหรือสั่งเพิกถอนการให้ความเห็นชอบทั้งนี้ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าผู้ประกอบวิชาชีพมีความน่าเชื่อถือและสามารถทำหน้าที่เป็นแนวป้องกันการกระทำที่ไม่เหมาะสมที่อาจเกิดขึ้นในตลาดทุนได้
3.การกำหนดสิทธิของผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ให้ครอบคลุมถึงการดำเนินการมการแทนผู้ถือหุ้นกู้ในกระบวนการฟื้นฟูกิจการและล้มละลาย ทั้งกระบวนการ จนกว่าคดีจะเสร็จสิ้น
ทั้งนี้ไม่ตัดสิทธิผู้ถือหุ้นกู้ที่จะดำเนินการในนามของตนเอง เนื่องจากในปัจจุบันผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ยังไม่สามารถดำเนินการดังกล่าวในนามของตนเองเพื่อประโยชน์ของผู้ถือหุ้นกู้ทั้งปวงได้
ทั้งนี้การปรับปรุงอำนาจของผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ภายใต้หลักการร่าง พ.ร.ก. ฉบับนี้ จะช่วยให้สามารถดูแลรักษาประโยชน์ของผู้ถือหุ้นกู้ได้อย่างครอบคลุมมากยิ่งขึ้น และสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ ที่กำหนดให้ถือว่าการกระทำของผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้เป็นการกระทำของผู้ถือหุ้นกู้โดยตรง โดยไม่ตัดสิทธิผู้ถือหุ้นกู้ที่จะดำเนินการในนามของตนเอง
4.การรายงานข้อมูลการก่อภาระผูกพันในหลักทรัพย์
โดยให้บุคคลใดที่กระทำการก่อภาระผูกพันในหลักทรัพย์มีหน้าที่รายงานการก่อภาระผูกพันในหลักทรัพย์นั้นต่อ สำนักงาน ก.ล.ต.และให้ สำนักงาน ก.ล.ต. มีอำนาจเปิดเผยรายงานการดังกล่าวต่อประชาชนเป็นการทั่วไป
มาตรการดังกล่าวจะช่วยให้นักลงทุนได้รับข้อมูลสำคัญอย่างครบถ้วนและเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจลงทุน ลดช่องว่างการรับรู้ข้อมูลที่ไม่เท่าเทียมกัน รวมถึงเป็นประโยชน์ต่อการกำกับดูแลการกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์และการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการ
5. การเพิ่มมาตรการทางกฎหมาย
เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบการกระทำความผิดและยับยั้งความเสียหาย และการมอบหมายบุคคลอื่นจัดการทรัพย์สินที่ยึดอายัด กรณีนิติบุคคล ตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ เช่น บริษัทจดทะเบียน บริษัทหลักทรัพย์ มีการเข้าทำธุรกรรมที่ไม่เหมาะสมและอาจส่งผลกระทบต่อนิติบุคคลและประชาชนผู้ลงทุน ให้คณะกรรมการ ก.ล.ต. มีอำนาจสั่งเป็นหนังสือยับยั้งการทำธุรกรรมนั้นไว้ชั่วคราวได้ภายในเวลาที่กำหนดแต่ไม่เกิน 60 วันทำการ
ส่วนกรณีที่มีการยึดหรืออายัดทรัพย์สินของนิติบุคคล สำนักงาน ก.ล.ต. มีอำนาจปล่อยทรัพย์สินดังกล่าวได้โดยอาจมอบหมายให้บุคคลอื่นเป็นผู้ดำเนินการแทนโดยไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ
ทั้งนี้ เพื่อช่วยให้มีเครื่องมือในการระงับยับยั้งการทำธุรกรรมของผู้ต้องสงสัยเพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลดังกล่าวยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินอันจะช่วยป้องกันความเสียหายอันอาจเกิดขึ้นกับบริษัทที่ออกหลักทรัพย์และผู้ลงทุนได้ รวมทั้งเพื่อช่วยให้กระบวนการตรวจสอบเพื่อปล่อยทรัพย์มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
6.การสอบสวนคดีที่อาจมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความเชื่อมั่นในระบบตลาดทุนหรืออาจมีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ (คดี High Impact)
โดยเพิ่มหมวด "การสอบสวนคดี"เพื่อช่วยให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปด้วยความรวดเร็วและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปราบปราบปรามการกระทำความผิดที่เป็นอาชญากรรมทางเศรษฐกิจตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ
โดยกำหนดให้ สำนักงาน ก.ล.ต. มีพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบซึ่งมีอำนาจสืบสวนและสอบสวน คดี High Impact รวมทั้งให้อำนาจ คณะกรรมการกก. ก.ล.ต. ในการเป็นผู้พิจารณาและมีมติกำหนด ให้คดีใดเป็นคดี High Impact ที่พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบมีอำนาจสืบสวนและสอบสวนได้
นอกจากนี้ ในกรณีที่เลขาธิการ ก.ล.ต. เห็นว่า เพื่อประสิทธิภาพในการปราบปรามการกระทำผิดจะให้มีการสอบสวนร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือพนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้
กำหนดให้เลขาธิการ ก.ล.ต. และพนักงานที่เลขาธิการ ก.ล.ต. มีอำนาจสืบสวนและสอบสวนคดี High Impact และกำหนดให้คดีที่มีการกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายหลายบท และบทหนึ่งเป็นคดี High Impact ให้พนักงานสอบสวนตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯมีอำนาจสืบสวนสอบสวนสำหรับความผิดบทอื่นด้วย โดยให้ถือว่าการสอบสวนนั้นเป็นการสอบสวนคดีตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯ
กำหนดให้ในกรณีที่พนักงานสอบสวนตาม ป.วิอาญา (ฝ่ายตำรวจและฝ่ายปกครอง)หรือพนักงานสอบสวนคดีพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษได้ทำการสอบสวนคดีในเรื่องใดไปแล้ว แต่ในภายหลัง คณะกรรมการ ก.ล.ต. ได้มีมติให้คดีนั้นเป็นคดี High Impactให้พนักงานสอบสวนตามกฎหมายอื่นดังกล่าวส่งมอบสำนวนการสอบสวนคดีดังกล่าว ให้พนักงานสอบสวนตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ เพื่อดำเนินการสอบสวนคดีต่อไป
กำหนดให้ รมว.คลัง มีอำนาจในการเสนอให้ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ หรือผู้ปฏิบัติงานใดในหน่วยงานของรัฐ มาปฏิบัติงานที่ สำนักงาน ก.ล.ต. เป็นการชั่วคราวภายในระยะเวลาที่ ครม. กำหนดในกรณีที่มีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการสืบสวนและสอบสวนคดี
7.มาตรการการลงโทษกรณีมีการปฏิบัติฝ่าฝืนหรือไม่เป็นไปตามบทบัญญัติ
เพิ่มบทกำหนดโทษอาญาสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพในตลาดทุนภายใต้การกำกับดูแล ของ สำนักงาน ก.ล.ต. ตามระดับความรุนแรงของการกระทำความผิด เช่น กรณีผู้สอบบัญชีปฏิบัติงานสอบบัญชีเพื่อแสดงความเห็นต่องบการเงินไม่เป็นไปตามข้อกำหนดของกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพ บัญชีหรือข้อกำหนดเพิ่มเติมตามที่คณะกรรมการกำกับตลาดทุนประกาศกำหนด หรือทำรารายงานเท็จหรือโดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปี - 10 ปี และปรับตั้งแต่ 500,000 - 1,000,000 บาท
รวมทั้งเพิ่มบทกำหนดโทษอาญาสำหรับการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายกรณีการขายชอร์ต และกรณีการไม่รายงานข้อมูลเกี่ยวกับ End Beneficiary ต่อ สำนักงาน ก.ล.ต. และเพิ่มบทกำหนดโทษมาตรการปรับเป็นพินัยให้มีความเหมาะสมและได้สัดส่วนกับความรุนแรงของการกระทำความผิดสำหรับผู้ให้บริการที่เกี่ยวเนื่องกับตลาดทุนที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนด หนังสือเตือน และคำสั่งของสำนักงาน ก.ล.ต.