ศ.เกียรติคุณ นพ.สันต์ หัตถีรัตน์ นายกสมาคมเวชศาสตร์ฉุกเฉินแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ด้วยปัจจุบันสถานการณ์แพร่ระบาดไวรัสโควิด -19 (COVID-19) ทำให้ระบบการแพทย์ฉุกเฉินและบุคลากรทางการแพทย์ฉุกเฉิน กำลังเข้าสู่ภาวะวิกฤต เนื่องจากผู้ป่วยฉุกเฉินจำนวนมาก ทั้งที่ป่วยด้วย COVID-19 และไม่ได้ป่วยด้วย COVID-19 ไม่ได้รับการรักษาพยาบาลอย่างทันการ และสมบูรณ์ รวมทั้ง บุคลากรทางการแพทย์ฉุกเฉินจำนวนไม่น้อย ได้ล้มป่วยและเสียชีวิตภาพจากการดูแลผู้ป่วยCOVID-19 ที่เหลือก็กำลังเหนื่อยล้า จากการปฏิบัติงานหนักมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน
สมาคมเวชศาสตร์ฉุกเฉินฯ จึงมีข้อเสนอต่อ นายกรัฐมนตรี ที่ได้รวบอำนาจการบังคับใช้กฎหมายต่างๆ มากกว่า 30 ฉบับ ไว้ที่ตนเอง ได้เร่งดำเนินการดังนี้
1. ทำให้การประสานงานระหว่างหน่วยงานราชการต่างๆ และระหว่างหน่วยงานภาครัฐกับภาคเอกชน ให้เป็นเอกภาพ มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลอย่างจริงจัง ในปัจจุบัน การประสานงานต่างๆ โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ยังไม่เป็นเอกภาพ ไม่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการลดการระบาด และการเสียชีวิตจาก COVID-19
2. หยุดการให้ข่าวและการสร้างข่าวที่ทำให้เกิดความสับสนจนประชาชนไม่เกิดความเชื่อมั่นในตัว ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี และรัฐบาลรวมทั้งหน่วยงานต่างๆ และดำเนินการลงโทษผู้ที่สร้างและแพร่ข่าวเท็จอย่างจริงจัง
3. เร่งการตรวจเชิงรุกเพื่อแยกผู้ติดเชื้อออกจากผู้ไม่ติดเชื้อโดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะในพื้นที่ และชุมชนที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น ชุมชนแออัด โรงงาน แคมป์คนงานก่อสร้าง โดยเป็นการแยกกักอย่างจริงจังและเข้มงวด ซึ่งในปัจจุบันยังมีการปล่อยปละละเลยกันอยู่
4. นำทรัพยากรอื่นๆ นอกเหนือจากด้านการแพทย์ และสาธารณสุข (ทั้งบุคลากรและวัสดุอุปกรณ์) มาช่วยในการตรวจเชิงรุก การแยกผู้ติดเชื้อ การช่วยเหลือดูแลการแบกกักที่บ้าน (Home Isolation) และในชุมชน (Community Isolation) เพื่อบรรเทาการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์
5. เพิ่มและกระจายศูนย์ตรวจเชิงรุกและฉีดวัคซีนไปยังพื้นที่เสี่ยง เพื่อลดการแพร่เชื้อจากความแออัด และการเดินทางของประชาชนไปยังศูนย์ฯ ที่มีอยู่น้อยในปัจจุบัน
6. สนับสนุน และช่วยเหลือให้ประชาชนผู้ติดเชื้อมีความมั่นใจว่าตนจะได้รับการดูแลตามสมควร ไม่ว่าจะแยกกักตัวอยู่ในบ้าน ในชุมชน ในวัด ในโรงเรียน ในค่ายทหาร และอื่นๆ
7. สนับสนุนและช่วยเหลือให้ประชาชนผู้ไม่ติดเชื้อสามารถดูแลตนเอง ไม่ให้ติดเชื่อ และในกรณีจำเป็น เช่น อยู่ในพื้นที่เสี่ยงสูงมาก ได้ย้ายออกไปอยู่ในที่ปลอดภัย
8.สนับสนุนและช่วยเหลือให้ประชาชนผู้หายจากการติดเชื้อแล้ว และประชาชนผู้สามารถดูแลตนเอง ไม่ให้ติดเชื้อเข้ามาดูแล ผู้ที่แยกกักตัวอยู่ในบ้าน และในชุมชนเพื่อบรรเทาการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ และสาธารณสุข เป็นต้น