นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผล การสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 9 ในเดือนสิงหาคม 2564 ภายใต้หัวข้อ “Lockdown อย่างไร เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และสาธารณสุข” พบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่ มองว่า มาตรการล็อกดาวน์ที่ภาครัฐดำเนินการอยู่ในปัจจุบันนั้น สามารถควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 (Covid-19) ได้ในขอบเขตที่จำกัด สาเหตุนั้นเกิดจากความไม่เข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมาย เช่น กรณีการลักลอบเข้าเมืองของแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย โดยผู้บริหาร ส.อ.ท. เห็นว่าควรมีการผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ให้ผู้ที่ได้รับวัคซีน 2 เข็ม สามารถเข้าใช้บริการร้านอาหารและกิจการบางประเภทได้ ควบคู่กับการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการติดตามประวัติการเดินทาง ควบคุมผู้มีความเสี่ยง และระบบรับรองผู้ได้รับวัคซีน 2 เข็ม (Certificate of Entry) รวมทั้งมีการตรวจและติดตามเชิงรุกเพื่อคัดแยกตัวผู้ป่วย นอกจากนี้ ยังเสนอให้ภาครัฐเร่งใช้งบประมาณในการจัดหาและสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการซื้อชุดตรวจโควิด-19 Antigen test kit ให้แก่โรงงาน เพื่อสุ่มตรวจหาผู้ติดเชื้อตามมาตรการ Bubble and Seal ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการควบคุมการแพร่ระบาด
โควิด-19 ในภาคอุตสาหกรรม
ทั้งนี้ จากการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 201 คน ครอบคลุมผู้บริหารจาก 45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 75 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด มีสรุปผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 9 จำนวน 7 คำถาม ดังนี้
1.มาตรการ Lockdown ที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน สามารถแก้ปัญหาการแพร่ระบาดได้ในระดับใด
อันดับที่ 1 ควบคุมการแพร่ระบาดได้ในขอบเขตที่จำกัด 78.1%
อันดับที่ 2 ไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ 15.4%
อันดับที่ 3 ควบคุมการแพร่ระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ 6.5%
2.สาเหตุใดที่ส่งผลทำให้มาตรการ Lockdown ไม่สามารถควบคุมอัตราการแพร่ระบาดโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อันดับที่ 1 ขาดความเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมาย เช่น การลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย 72.6%
อันดับที่ 2 ความไม่ชัดเจนในแนวปฏิบัติที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ 65.2%
อันดับที่ 3 ขาดการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน 60.2%
อันดับที่ 4 ขาดมาตรการสนับสนุนสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนอยู่กับบ้าน 52.2%
3.แนวทางใดจะช่วยทำให้การ Lockdown เกิดความสมดุลทั้งด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และสาธารณสุข
อันดับที่ 1 ผ่อนปรนให้ผู้ที่ได้รับวัคซีน 2 เข็ม สามารถเข้าใช้บริการได้ เช่น ร้านอาหาร สถานเสริมความงาม ฯลฯ 73.6%
อันดับที่ 2 นำเทคโนโลยีมาใช้ในการติดตามประวัติการเดินทาง ควบคุมผู้มีความเสี่ยง และระบบรับรองผู้ได้รับวัคซีน 2 เข็ม 69.7%
อันดับที่ 3 การตรวจและติดตามเชิงรุกเพื่อคัดแยกตัวผู้ป่วยออกจากสังคม 68.7%
อันดับที่ 4 อนุญาตให้เปิดธุรกิจบริการบางประเภท โดยจำกัดขนาดพื้นที่ต่อจำนวนคน และห้ามกิจกรรมรวมหมู่ 68.2%
4.ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการ Lockdown ควรได้รับการช่วยเหลือเยียวยาอย่างไร
อันดับที่ 1 พักชำระหนี้และหยุดคิดดอกเบี้ย สำหรับกิจการที่ถูกสั่งปิดฯ เป็นระยะเวลา 6 เดือน 81.1%
อันดับที่ 2 ชดเชยค่าจ้างขั้นต่ำตามจำนวนแรงงานให้แก่ผู้ประกอบการ เพื่อรักษาการจ้างงาน 75.1%
อันดับที่ 3 สนับสนุนค่าใช้จ่ายในการประกอบการแก่ SME ในอัตราร้อยละ 50 (มาตรการคนละครึ่ง-ภาค SME) 65.7%
อันดับที่ 4 ยกเว้นภาษีนิติบุคคลให้ธุรกิจ SME เป็นระยะเวลา 3 ปี สำหรับผู้ที่เข้าระบบภาษี E-Tax 62.7%
5.การผ่อนคลายมาตรการ Lockdown ควรเริ่มดำเนินการเมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดอยู่ในระดับใด
อันดับที่ 1 ผู้ติดเชื้อ ต่ำกว่า 10,000 คนต่อวัน 36.8%
อันดับที่ 2 ผู้ติดเชื้อ ต่ำกว่า 20,000 คนต่อวัน 26.4%
อันดับที่ 3 ผู้ติดเชื้อ ต่ำกว่า 5,000 คนต่อวัน 24.9%
อันดับที่ 4 ผู้ติดเชื้อ ต่ำกว่า 1,000 คนต่อวัน 11.9%
6.รัฐควรผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ในกลุ่มธุรกิจใดบ้าง เพื่อลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ
อันดับที่ 1 ร้านอาหาร 91.0%
อันดับที่ 2 ห้างสรรพสินค้า และร้านค้า 80.6%
อันดับที่ 3 การท่องเที่ยวภายในจังหวัด 70.1%
อันดับที่ 4 การก่อสร้าง 65.2%
อันดับที่ 5 ธุรกิจการบิน 48.3%
อันดับที่ 6 กีฬา และสันทนาการบางประเภท 47.3%
7.การควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ในภาคอุตสาหกรรม รัฐบาลควรสนับสนุนงบประมาณในเรื่องใด
อันดับที่ 1 จัดหาและสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการซื้อชุดตรวจ ATK ให้แก่โรงงาน เพื่อสุ่มตรวจหาผู้ติดเชื้อตามมาตรการ Bubble and Seal 91.0%
อันดับที่ 2 จัดให้มี Mobile Units ฉีดวัคซีนให้แก่แรงงาน ณ สถานประกอบการ 72.1%
อันดับที่ 3 สนับสนุนงบประมาณในการจัดตั้ง Factory Quarantine และ Factory Accommodation Isolation ภายในโรงงาน 70.6%
อันดับที่ 4 จ่ายเงินชดเชยให้แก่ผู้ประกอบการในกรณีที่ถูกสั่งปิดกิจการ 62.7%