เต็มแล้ว! อาสาสมัครแห่ลงทะเบียนทดสอบวัคซีนใบยา ไฟโตฟาร์ม

06 ก.ย. 2564 | 08:00 น.
อัปเดตล่าสุด :06 ก.ย. 2564 | 15:19 น.

วัคซีน ใบยา ไฟโตฟาร์มคืบ ล่าสุดเปิดให้อาสาสมัครทดสอบวัคซีนระยะ 1 คาดหากผลการทดสอบเป็นไปตามเป้าหมาย กลางปี 65 จะผลิตวัคซีนใบยาให้คนไทยได้ฉีดแน่นอน

เมื่อเวลา 12.00 น.บริษัท ใบยา ไฟโตฟาร์ม จำกัด Baiya Phytopharm Co., Ltd. ได้ประกาศเปิดรับอาสาสมัครวัคซีนใบยาซาร์สโควีทูแวกซ์ 1 (Baiya SARS CoV-2 Vax 1) สำหรับการทดสอบวัคซีนระยะที่ 1 ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และสถานเสาวภา สภากาชาดไทย ซึ่งหลังจากเปิดให้ผู้สนใจเข้ามาลงทะเบียนเพื่อขอทดสอบ ล่าสุดเมื่อเวลา 14.50 น. "ฐานเศรษฐกิจ"พบว่าระบบดังกล่าวมีผู้สมัครเข้ามาเต็มจำนวนแล้ว

 

เต็มแล้ว! อาสาสมัครแห่ลงทะเบียนทดสอบวัคซีนใบยาไฟโตฟาร์ม

 

ทั้งนี้ผู้ที่สามารถเข้ารับการทดสอบวัคซีนใบยาในระยะ 1 จะต้องมีคุณสมบัติได้แก่

  • รับอาสาสมัครที่มีสุขภาพดี และมีอายุระหว่าง 18 – 75 ปี
  • อาสาสมัครต้องยังไม่เคยฉีดวัคซีนโควิด-19 มาก่อน
  • ผู้ที่สนใจสามารถสแกน QR code หรือกดลิงก์ https://baiya-recruit.clinsearch.co.th/register และกรอกข้อมูลทำแบบประเมินตนเอง 
  • ผู้ที่มีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขในการเข้าร่วมโครงการจะมีเจ้าหน้าที่ติดต่อไปเพื่อประสานงานนัดหมายตามข้อมูลที่ท่านระบุไว้
     

สำหรับความคืบหน้าการวิจัยและพัฒนาวัคซีนใบยา รศ.ดร.วรัญญู พูลเจริญ  Co-founder และ Chief Technology Officer (CTO) บริษัท ใบยา ไฟโตฟาร์ม จำกัด ได้เปิดเผยว่า ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาได้นำ ข้อมูลการผลิตวัคซีนใบยาและดำเนินการควบคุมคุณภาพทั้งหมดเสนอสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และตามแผนที่วางไว้ในเดือนกันยายนจะเริ่มทดสอบในมนุษย์ระยะแรก  ซึ่งถ้าผลการทดสอบเป็นไปตามเป้าหมาย คาดว่า กลางปี 2565 จะสามารถผลิควัคซีนใบยาให้คนไทยได้ฉีด

 

ทั้งนี้ ไวรัสโควิด-19 มีการกลายพันธุ์ตลอดเวลาการผลิตวัคซีนก็ต้องมีการพัฒนาเพื่อให้วัคซีนสามารถป้องกันไวรัสได้ ปัจจุบันวัคซีนป้องกันโควิดมีหลายรูปแบบ ทั้งชนิดเชื้อตาย อย่างซิโนแวค ซิโนฟาร์ม หรือโปรตีนซับยูนิต

สำหรับวัคซีนใบยาจะใช้พืชเป็นแหล่งผลิต เป็นต้นยาสูบ ที่เป็นคนละพันธุ์กับของไทยโดยเป็นยาสูบที่มีปริมาณนิโคตินต่ำซึ่งปลูกขึ้นมาและส่งถ่ายยีนเฉพาะชิ้นส่วนที่สามารถโค้ดเป็นโปรตีนของไวรัสให้พืชผลิตขึ้นมาได้

 

นอกจากวัคซีนโควิดที่มีการพัฒนา ทางบริษัทใบยาฯได้มีการผลิตยาและศึกษาวิจัยอื่น ๆ ร่วมด้วยเพราะขณะนี้ยาที่ใช้ในไทย ส่วนใหญ่เป็นการนำเข้ามา ดังนั้น ประเทศไทยจำเป็นต้องพัฒนายาเพื่อสร้างความมั่นคงให้ได้ หากเกิดการระบาดของโรคอื่น ๆ หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงของไวรัส ต้องพร้อมในการผลิตยา หรือวัคซีนที่มีประสิทธิภาพได้