รายงานข่าวระบุว่า ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา (หมอธีระวัฒน์) ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว (ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha)โดยมีข้อความว่า
การเปิดเรียน:มาตรการการป้องกันและความปลอดภัย
นพ. ภาสิน เหมะจุฑา
นพ. ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
ความสำคัญและความเป็นมา
เด็กเล็กอย่างน้อยตั้งแต่สองขวบจนกระทั่งถึง 18 มีการติดเชื้อโควิดโดยเฉพาะตั้งแต่มีสายพันธุ์เดลตาไม่แตกต่างกับผู้ใหญ่ และกลายเป็นคนแพร่เชื้อที่มีประสิทธิภาพที่สุด แม้ว่าอัตราการเสียชีวิตและความรุนแรงในช่วงระยะแรก (acute COVID) จะ น้อยกว่า
แต่ในระยะถัดมา (subacute ใน 2 -4 เดือน) และระยะยาวกว่านั้น (long COVID) พบผลกระทบในรูปลักษณะ มีการอักเสบในหลายอวัยวะ จำเป็นต้องเข้าโรงพยาบาล และในระยะยาวเป็นไปได้อย่างสูง ที่จะมีผลกระทบกับทุกอวัยวะ ซึ่งส่งผลไปถึงการพัฒนาการการเจริญเติบโตและโดยเฉพาะผลกระทบทางสมอง ทั้งนี้แม้ว่าความรุนแรงของการติดเชื้อในระยะแรกจะมีไม่มากหรือแทบไม่มีก็ตาม
มาตรการที่ควรกระทำ
1.ให้วัคซีนกับเด็กทุกอายุตั้งแต่ สองปีขึ้นไป
ทั้งนี้ วัคซีน mRNA ไบโอเอ็นเทค กำลังอยู่ในระหว่างการอนุมัติฉีดตั้งแต่ห้าปีขึ้นไป (ข้อมูลวันที่ 11 กันยายน 2564) โดยใช้ขนาดเนื้อวัคซีนน้อยลง เพื่อปิดช่องว่างให้ต่อเนื่องกับการใช้ในอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป
อย่างไรก็ตามข้อควรระวังก็คือในเด็กจะเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสำหรับกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ สูงที่สุดและแม้ว่าจะมีการให้ความมั่นใจว่าอาการไม่รุนแรงและรักษาทันท่วงทีก็ตามแต่ต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วนเนื่องจากในเด็กกลุ่มอายุเหล่านี้ความเสี่ยงในการเสียชีวิตจะน้อยกว่ากลุ่มผู้ใหญ่มาก ยกเว้นเป็นในเด็กที่มีโรคประจำตัวมากอยู่แล้ว
ด้วยเหตุผลดังกล่าวการใช้วัคซีนเชื้อตายดังที่มีการปฏิบัติในประเทศจีนแล้วน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดในเรื่องความปลอดภัย ทั้งนี้เนื่องจากวัคซีนเชื้อตายมีการใช้ในการป้องกันโรคอื่นมาเป็นเวลามากกว่า 60 ปีแล้ว
ทั้งนี้การฉีดเพื่อให้ได้ภูมิคุ้มกันที่ป้องกันการติดเชื้อและความรุนแรงของโรคให้ได้เร็วที่สุดสามารถกระทำได้โดยการฉีดเข้าชั้นผิวหนังด้วยปริมาณ 0.1 ซีซีในวันที่ศูนย์และวันที่เจ็ด และเป็นไปได้ที่ภูมิคุ้มกันจะขึ้นภายในสองถึงสี่สัปดาห์ขึ้นไป ตามรูปแบบการฉีดป้องกันล่วงหน้าวัคซีนพิษสุนัขบ้า และสามารถเปิดเรียนได้ในหนึ่งเดือนหลังจากฉีดเข็มที่สอง
และหลังจากนั้นเพื่อครอบคลุมสายพันธุ์เช่นเดลต้าจำเป็นต้องมีการฉีดกระตุ้นด้วยวัคซีนเช่นไบโอเอ็นเทค แบบชั้นผิวหนัง 0.1 ซัซี ในช่วงเวลาเดือนครึ่งถึงสามเดือนหลังจากเข็มที่สอง
2.การตรวจคัดกรอง
ชุดตรวจคัดกรองที่มีอยู่ในขณะนี้ไม่บรรลุวัตถุประสงค์ของการคัดกรองกล่าวคือไม่มีความไวที่ต้องการที่จะเข้าใกล้ 100% ทำให้มีโอกาสพลาดตั้งแต่ 10 ถึง 20% หรือมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นการตรวจปลายนิ้วหาภูมิตอบสนองต่อการติดเชื้อในคนที่ไม่ได้รับวัคซีนหรือการตรวจหาเชื้อ แบบ ATK ด้วยการตรวจในน้ำลายหรือด้วยการแยงจมูกตื้นๆ จนกระทั่งลึกเข้าไปในโพรงจมูกด้านหลังและลำคอก็ตาม
แต่เนื่องจากข้อจำกัดของชุดตรวจทั้งหมดที่มีอยู่ในประเทศไทย ดังนั้นถือว่าเป็นมาตรการเสริมกับการฉีดวัคซีนในข้อที่หนึ่ง
ทั้งนี้ในเด็กเล็กสามารถตรวจที่บ้านได้โดยการตรวจน้ำลายหรือการแยงจมูกตื้นๆ โดยที่ในเด็กโตขึ้นจะเป็นการแยงจมูกลึกถึงลำคอ
ความถี่ของการตรวจเด็กจะอยู่ที่อย่างน้อยสัปดาห์ละหนึ่งถึงสองครั้งห่างกันห้าวัน จนกระทั่งถึงวันเวันวัน
แต่เจ้าหน้าที่ของโรงเรียนและสถานศึกษาจะต้องมีการตรวจในลักษณะดังกล่าวด้วยการแยงจมูกและลำคอถี่กว่า อย่างน้อยวันเว้นวัน ถ้าปรากฏผลบวก อาจจะถือว่ามีการแพร่ในโรงเรียนหรือสถานศึกษานั้นแล้วโดยขอบเขตการแพร่อยู่ที่การสืบสวนและสอบสวนต่อ
สำหรับการฉีดวัคซีนโควิด-19 (Covid-19)ให้กับกลุ่มเด็กนั้น แต่ละประเทศก็มีมุมมองที่แตกต่างกัน "ฐานเศรษฐกิจ" ได้ติดตามข้อมูลและรวบรวมได้ดังนี้
ประเทศอังกฤษ คณะกรรมการด้านวัคซีนของอังกฤษ ( JCVI : Joint Committee on Vaccination and Immunisation )ได้มีความเห็นเบื้องต้นว่า ยังไม่สมควรแนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันโควิดกับเด็กสุขภาพดีในช่วงอายุ 12-15 ปี โดยได้ชั่งผลดีผลเสียทั้งสองด้านแล้วว่า เด็กอายุ 12-15 ปีที่ไม่มีโรคประจำตัว เมื่อติดเชื้อแล้วส่วนใหญ่จะไม่มีอาการ และมีส่วนน้อยที่มีอาการเล็กน้อย ซึ่งก็จะหายได้เองโดยที่ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล
โดยมีสถิติยืนยันว่า เด็กที่ไม่มีโรคประจำตัว ติดโควิดแล้วต้องนอนโรงพยาบาลเพียง 2 รายใน 1,000,000 ราย ในขณะที่เด็กที่มีโรคประจำตัว จะต้องนอนโรงพยาบาลมากถึง 100 รายต่อ 1,000,000 ราย
ส่วนผลข้างเคียงของวัคซีนโดยเฉพาะเทคโนโลยี mRNA คือของ Pfizer พบว่ามีผลข้างเคียงที่พบน้อยมาก (very rare) แต่มีอาการรุนแรงคือกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (Myocarditis) โดยมักจะพบในผู้ที่มีอายุค่อนข้างน้อย ไม่พบในผู้สูงอายุ
โดยมีสถิติจากสหรัฐอเมริกาว่า จะพบในผู้หญิง 8 รายใน 1,000,000 โดส และในผู้ชายพบถึง 60 รายใน 1,000,000 โดส สำหรับผู้ที่อยู่ในกลุ่มอายุ 12-17 ปี ซึ่งทำให้เกิดอาการเจ็บหน้าอก ใจสั่น และมีรายงานการเสียชีวิตไปบ้างแล้ว
คณะกรรมการ JCVI จึงชั่งน้ำหนักว่า ประโยชน์ที่ได้จากการฉีดวัคซีน ยังไม่ได้มากกว่าผลข้างเคียงของวัคซีนอย่างชัดเจน
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ถือเป็นประเทศแรกนอกประเทศจีนที่ วัคซีน Sinopharm สามารถฉีดในเด็กอายุ 3 ขวบขึ้นไปได้แล้ว
ประชากรวัยเด็ก ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีลงมา จัดเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงในการติดโควิดสูงสุดในขณะนี้ เนื่องจากยังไม่มีวัคซีนที่อนุมัติให้ฉีดได้อย่างเป็นทางการ ยกเว้น Pfizer ซึ่งฉีดได้ตั้งแต่อายุ 16 ปีขึ้นไป และมีบางประเทศ ที่อนุมัติให้ฉีดอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไปได้ เช่น สหรัฐฯ แคนาดา สิงคโปร์ ฮ่องกง และจีน เป็นต้น แต่ในการฉีดเด็กที่อายุต่ำกว่า 12 ปีลงมา ยังไม่มีการอนุมัติเป็นที่แพร่หลาย
สาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นประเทศแรกที่อนุมัติให้ฉีดในสถานการณ์ฉุกเฉิน (EUA) สำหรับเด็กอายุตั้งแต่สามขวบขึ้นไปได้ เป็นวัคซีนของ Sinovac เมื่อเดือนมิถุนายน 2564 จากการทดลองเฟส1/2 ของเด็กจำนวน 552 คน ในช่วงตุลาคมถึงธันวาคม 2563 ที่มณฑลหูเป่ย ได้ผลดีทั้งเรื่องความปลอดภัยและประสิทธิผลของวัคซีน
ต่อมา Sinopharm ก็เป็นวัคซีนลำดับที่สอง ที่ได้รับการอนุมัติให้จดทะเบียนฉีดในสถานการณ์ฉุกเฉินในประเทศจีน เมื่อเดือนกรกฎาคม 2564 และในเดือนสิงหาคม 2564 สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ก็ได้อนุมัติให้สามารถฉีดวัคซีน Sinopharm ในเด็กตั้งแต่อายุ 3 ขวบขึ้นไปจนถึง 17 ปีได้ภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน