จีนพัฒนาวัคซีน mRNA ตัวแรกสำเร็จ-วางตลาดเดือน ต.ค. จุดเด่นเก็บรักษาง่าย

12 ก.ย. 2564 | 03:01 น.
อัปเดตล่าสุด :12 ก.ย. 2564 | 10:01 น.

หมอเฉลิมชัยเผยประเทศจีนสามารถพัฒนาวัคซีนชนิด mRNA ตัวแรกสำเร็จ คาดวางตลาดเดือนตุลาคมปีนี้ ระบุจุดเด่นเก็บรักษาง่ายที่ตู้เย็นระดับ 2-8 องศาเซลเซียส ได้นานหลายเดือน และเก็บที่อุณหภูมิห้องได้นาน 7 วัน

รายงานข่าวระบุว่า น.พ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ (หมอเฉลิมชัย) รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา โพสต์ blockdit ส่วนตัว "ร้อยแปดพันเก้ากับหมอเฉลิมชัย" โดยมีข้อความว่า
จีนประสบความสำเร็จ สามารถพัฒนาวัคซีน mRNA ตัวแรกได้แล้ว จะวางตลาดเดือนตุลาคม 2564 นี้
ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นประเทศที่ใช้มาตรการเข้มข้นในการควบคุมการระบาดของโควิด นับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2562 จนถึงปัจจุบัน มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพียง 95,128 ราย และเสียชีวิต 4,636 ราย ซึ่งถือว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับประชากรกว่า 1,400 ล้านคน
อย่างไรก็ตาม จีนก็ได้พัฒนาวัคซีนของตนเองขึ้นมาหลายชนิด ซึ่งวัคซีนหลักที่ใช้ฉีดให้กับประชาชนเป็นเทคโนโลยีเชื้อตายของ Sinovac และ Sinopharm จนกระทั่งสามารถฉีดวัคซีนได้ครอบคลุมประชากรมากติดอันดับหนึ่งในสิบประเทศแรกของโลก
ต่อมาเมื่อมีไวรัสสายพันธุ์เดลตาระบาด และพบว่าระดับภูมิคุ้มกันของวัคซีนเชื้อตายสองเข็มของจีนลดระดับลง ทำให้ป้องกันโควิดได้ไม่ดีนัก
ประเทศจีน ก็ได้เร่งพัฒนาวัคซีนเทคโนโลยีอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง mRNA ตั้งแต่ปีที่แล้ว
โดยผ่านการทดลองในสัตว์ทดลอง และทดลองในมนุษย์เฟสหนึ่ง/สอง
จนเมื่อพฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมา ก็ได้เริ่มทดลองเฟสสามที่ประเทศเม็กซิโกและประเทศอินโดนีเซีย ได้ผลดีเป็นที่น่าพอใจ
จนกระทั่งประกาศว่า จะสามารถฉีดวัคซีนให้กับประชาชนทั่วไปได้ ในเดือนตุลาคม 2564

โดยจีนได้ลงทุนไปกว่า 2600 ล้านบาท ตั้งโรงงานที่มณฑลยูนาน โดยร่วมมือกันระหว่าง Academy of Military Medical Sciences กับ บริษัท Suzhou Abogen และ บริษัท Yunnan Walvax BioTech มีกำลังผลิต 200 ล้านโดสต่อปี
โดยข้อเด่นของวัคซีนนี้ (ARCoVax) เมื่อเทียบกับวัคซีนของ Pfizer และ Moderna ก็คือ
1.เก็บรักษาง่ายกว่าคือ เก็บที่ตู้เย็นระดับ 2-8 องศาเซลเซียส ได้นานหลายเดือน และเก็บที่อุณหภูมิห้องได้นาน 7 วัน
2.สะดวกกว่า เพราะหนึ่งหลอดหรือหนึ่งขวด จะฉีดเพียงโดสเดียว ไม่ต้องทำการเจือจางเพื่อแบ่งฉีดหลายโดสแบบของ Pfizer

จีนพัฒนาวัคซีน mRNA ตัวแรกได้แล้ว
3.วัคซีนมีความจำเพาะเจาะจงมากขึ้น จากการพัฒนาการที่เกิดขึ้นภายหลัง จึงกระตุ้นระดับภูมิคุ้มกัน (NAb) ได้สูงกว่า
วัคซีน mRNA ของจีนดังกล่าว จะมาช่วยทำให้นโยบายการฉีดวัคซีนของจีนเป็นไปได้ดียิ่งขึ้นคือ ใช้ฉีดกระตุ้นเข็มสาม สำหรับประชาชนจีนที่ฉีดวัคซีนเชื้อตายสองเข็มไปแล้ว
สำหรับประเทศไทยเราเอง คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ได้พัฒนาวัคซีน mRNA ของเราเอง ซึ่งขณะนี้เสร็จสิ้นการทดลองเฟสหนึ่งแล้ว กำลังจะเข้าสู่การทดลองเฟสสอง และมีจุดเด่นเช่นเดียวกับวัคซีนของจีนคือ
สามารถเก็บที่อุณหภูมิห้องหรืออุณหภูมิตู้เย็นได้ โดยไม่จำเป็นต้องเก็บที่อุณหภูมิติดลบแบบของ Pfizer และ Moderna

ทั้งนี้ "ฐานเศรษฐกิจ" ติดตามข้อมูลของวัคซีนโควิด-19 (Covid-19) ในประเทศไทยล่าสุด พบว่า
ภายในเดือนธันวาคม 2564 ไทยจะมีวัคซีนหลักสามชนิด ดังนี้
1.Sinovac 31.5 ล้านโดส
2.AstraZeneca 62.9 ล้านโดส
3.Pfizer 31.5 ล้านโดส
รวมเป็นวัคซีนทั้งสิ้น 125.9 ล้านโดส