เอเชียประกันภัยไม่ใช่รายเดียว อนุสรณ์ชี้หลายบริษัทมีปัญหาสภาพคล่อง

17 ต.ค. 2564 | 13:14 น.
อัปเดตล่าสุด :17 ต.ค. 2564 | 20:13 น.

อนุสรณ์ชี้เอเชียประกันภัยอาจไม่ใช่รายเดียวที่ปิดกิจการ ระบุมีหลายบริษัทฐานะการเงินไม่เข้มแข็งและมีปัญหาสภาพคล่อง แนะศึกษาข้อมูลก่อนทำประกัน

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย และอดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยถึงกรณี การถอนใบอนุญาตและปิดกิจการของบริษัทเอเชียประกันภัยอาจจะไม่ได้เป็นเพียงรายเดียว เนื่องจากมีบริษัทประกันภัยจำนวนหนึ่งมีฐานะการเงินไม่เข้มแข็งนักและมีปัญหาสภาพคล่องอยู่ ประชาชนจึงต้องศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนทำประกัน ในระยะแรกของการแพร่ระบาดโควิด-19 (covid-19) นั้น ธุรกิจประกันภัยได้รับผลกระทบน้อยมาก และบริษัทประกันจำนวนไม่น้อยได้พลิกวิกฤติเป็นโอกาส 
ทั้งนี้ จากการสำรวจข้อมูลของ คปภ. เมื่อปีที่แล้ว พบว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อธุรกิจทุกภาคส่วนรวมถึงรายได้และความสามารถในการใช้จ่าย จากการรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่หลากหลายช่องทาง ผู้คนจึงตระหนักและมีความต้องการซื้อผลิตภัณฑ์ประกันภัยมากยิ่งขึ้น ทำให้แนวโน้มยอดขายกรมธรรม์ประกันภัยโควิด-19 มีสัดส่วนมากเมื่อเทียบกับยอดขายทั้งหมดของธุรกิจประกันใน 1-2 ปีที่ผ่านมา 
การปล่อยให้เกิดการติดเชื้อโควิดจำนวนมากจากการบริหารจัดการวัคซีนล่าช้า ความล้มเหลวในการควบคุมระบาดระลอกสาม ทำให้ธุรกิจประกันบางแห่งที่มีฐานะการเงินอ่อนแออยู่แล้ว ทรุดตัวลงอย่างรวดเร็ว ขอเตือนให้ระมัดระวัง กิจการธุรกิจประกัน สหกรณ์ออมทรัพย์ ธุรกิจโรงรับจำนำจะมีปัญหาสภาพคล่องเพิ่มเติม นอกจากนี้ขอให้เฝ้าระวังหนี้เสียของกลุ่มพิโกไฟแนนซ์และกิจการเช่าซื้อขนาดเล็ก

นายอนุสรณ์ กล่าวต่อไปอีกว่า อย่าปล่อยให้สถานการณ์ลุกลาม จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤติการเงินได้และอาจมาเร็วกว่าคาด ต้องเร่งใช้เม็ดเงินอย่างต่ำ 5-7 แสนล้านบาทเพื่อออกมาตรการรักษาระดับการจ้างงานเอาไว้ การให้เงินช่วยเหลือโดยตรงภาคธุรกิจ การลดค่าใช้จ่ายสำหรับครัวเรือนและภาคธุรกิจ 
รวมถึงการใช้เงินช่วยเหลือโดยตรงกับครัวเรือน หากไม่ทำจะทำให้กิจการขนาดย่อมขนาดเล็กขนาดกลางกว่า 2 แสนรายขาดสภาพคล่อง และอาจต้องปิดตัวลงอีก และกระทบครัวเรือนกว่า 3 ล้านครัวเรือนที่จะยากจนลงและมีหนี้สินล้นพ้นตัว หากเปิดประเทศได้เต็มที่และไม่มีปัญหาการกลับมาระบาดระลอกสี่ของโควิดก็ไม่จำเป็นต้องใช้เงินช่วยเหลือโดยตรงตามที่เสนอ

โควิดทุบธุรกิจประกันภัย
จากงานวิจัยหลายชิ้นบ่งชี้ตรงกันว่า ผลกระทบจากโควิด-19 ในประเด็นการรับรู้ความเสี่ยงส่วนบุคคลจะส่งผลเชิงบวกต่อความต้องการซื้อประกันสุขภาพและประกันชีวิตในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เนื่องจากการล็อกดาวน์และการแพร่ระบาดของโควิดส่งผลกระทบต่อฐานะทางการเงินของครอบครัวรายได้น้อยมากและครอบครัวชนชั้นกลางค่อนข้างมาก การซื้อประกันหรือการจ่ายค่าเบี้ยประกันไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่การซื้อประกันเพิ่มขึ้นเกิดขึ้นในกลุ่มกิจการและนิติบุคคลหรือผู้มีรายได้สูง
กรณีของบริษัทเอเชียประกันภัยนั้นเป็นผลมาจากความผิดผลาดในการบริหารความเสี่ยงและการบริหารสภาพคล่องของบริษัทมากกว่าผลจากธุรกิจอุตสาหกรรมประกันและเศรษฐกิจโดยรวม อย่างไรก็ตาม สภาพวิกฤติเศรษฐกิจโดยรวม อัตราผลตอบแทนต่ำยาวนานในตลาดตราสารหนี้ ธุรกิจประกันที่มีการแข่งขันกันสูง

ตลอดจนความไม่สามารถจัดการผลกระทบภัยพิบัติจากโรคระบาดและภัยพิบัติน้ำท่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพของภาครัฐทำให้ฐานะทางการเงินของธุรกิจประกันหลายแห่งย่ำแย่ลงอย่างรวดเร็ว บริษัทเอเชียประกันภัยมีหนี้สินกว่า 4.4 พันล้านบาท บริษัทเอเชียประกันภัย 1950 ได้ทยอยเพิ่มทุนจดทะเบียนสองครั้ง ในปี พ.ศ. 2562 เพิ่มทุนจดทะเบียน 300 ล้านบาท 
ขณะนี้ คณะกรรม คปภ. สั่งห้าม เจ้าพระยาประกันภัย รับประกันวินาศภัย ชั่วคราว และการสั่งถอนใบอนุญาต บริษัทเอเชียประกันภัย สะท้อนปัญหาสภาพคล่องในธุรกิจประกันที่อาจลุกลามไปสู่สถาบันการเงินประเภทอื่นๆได้ กรณีของบริษัทเอเชียประกันภัยนั้น มีฐานะการเงินไม่มั่นคง การดำรงเงินกองทุนไม่ครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด มีหนี้สินมากกว่าทรัพย์สิน สภาพคล่องไม่เพียงพอต่อการจ่ายค่าสินไหมทดแทน จ่ายค่าสินไหมทดแทนล่าช้า รวมถึงการเสนอขายกรมธรรม์ไม่เป็นไปตามแบบและข้อความที่ได้รับความเห็นชอบจากนายทะเบียน
นายอนุสรณ์ กล่าวอีกว่า มาตรการเสริมสร้างสภาพคล่องให้กับบริษัทประกันวินาศภัยโดย คปภ ที่ออกมาบังคับใช้เมื่อวันที่ 30 กันยายน นั้นเพียงช่วยบรรเทาปัญหาลงได้บ้างเท่านั้น โดย 7 มาตรการที่ออกมาจะเกี่ยวกับการผ่อนคลายเกณฑ์การคำนวณเงินกอบทุนและการผ่อนผันการดำรงอัตราส่วนเงินกองทุนขั้นที่ 1 รวมทั้งการยอมให้นำเอาเบี้ยประกันค้างรับมาใช้เป็นสินทรัพย์หนุนหลัง 

โควิดทุบธุรกิจประกันภัย
มาตรการเหล่านี้ล้วนเป็นแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้นและอาจทำให้เกิดความเสี่ยงและความเข้มแข็งของธุรกิจประกันในระยะยาวอ่อนแอลง เนื่องจากบริษัทประกันหลายแห่งไม่ได้มีฐานะทางการเงินแข็งแรงพอที่จะรองรับกับการเคลมโควิดในระดับพันล้านบาทขึ้นไปในแต่ละบริษัท หรือการเคลมคิดระดับหมื่นล้านบาททั้งระบบ และจำนวนผู้ร้องเรียนเคลมก็เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 
เมื่อถูกซ้ำเติมโดยการเคลมประกันภัยพิบัติจากน้ำท่วมอีก ก็จะมีฐานะทางการเงินอ่อนแอลง ตอนนี้ต้องทำอย่างไรไม่ให้น้ำท่วมนิคมอุตสาหกรรมและกิจการต่างๆในเขตเมือง ฉะนั้น ต้อง มีมาตรการเพิ่มเติมนอกเหนือจากมาตรการที่มีอยู่โดย คปภ. ขณะนี้ คือ การส่งเสริมให้มีการเพิ่มทุนเพื่อให้ฐานะของบริษัทประกันเข้มแข็งขึ้น และสร้างจูงใจให้เกิดการควบรวมกิจการ การจัดโครงสร้างใหม่ของกลุ่มธุรกิจธนาคารและการเงินรวมทั้งการขยายพรมแดนทางธุรกิจโดยอาศัยฐานลูกค้าที่มีอยู่จะทำให้บริษัทธุรกิจประกันขนาดเล็กและขนาดกลางได้รับผลกระทบ การสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจเพื่อการควบรวมของธุรกิจประกันขนาดเล็กกันเองหรือกับสถาบันการเงินอื่นๆอาจมีความจำเป็น 
นอกจากนี้ จะเห็นการหลอมรวมของธุรกิจธนาคาร ธุรกิจโทรคมนาคม ธุรกิจสื่อสังคมออนไลน์ ธุรกิจประกัน ธุรกิจค้าปลีกและเครือข่ายมากขึ้น องค์กรที่จะอยู่รอดได้จึงจำเป็นต้องมีการร่วมลงทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจข้ามอุตสาหกรรม หรือ จำเป็นต้องทำธุรกิจแบบครบวงจรมากขึ้น ด้วยการผนวกรวม ทั้งแนวตั้งและแนวนอน (Vertical and Horizontal Integration) โดยควรสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำพิเศษเพื่อให้ธุรกิจประกันประคับประคองธุรกิจไปให้ได้ในช่วงนี้ และในภาพรวม ธนาคารอาจต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาอีกหากมีความจำเป็น
นโยบายการคุมเพดานดอกเบี้ยเงินกู้ธุรกิจเช่าซื้อ ว่า แม้มีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือประชาชนรายได้น้อยที่ต้องแบกรับภาระอัตราดอกเบี้ยค่อนข้างสูง แต่จะผลักดันให้คนจนไปกู้นอกระบบมากขึ้น เพราะธุรกิจเช่าซื้อจะไม่สามารถปล่อยกู้ให้กับคนจนที่มีความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้สูงได้เพราะถูกกำหนดเพดานไว้ ไม่คุ้มกับความเสี่ยงก็จะทำให้ไม่มีการปล่อยกู้ กลุ่มคนจนเหล่านี้ก็จะหันไปกู้นอกระบบซึ่งอัตราดอกเบี้ยสูงกว่ามากและมีความเสี่ยงที่จะถูกคดโกงหรือเอาเปรียบลูกหนี้ได้ 
การกำหนดเพดานอัตราดอกเบี้ย จึงเป็นนโยบายที่ไม่มีประสิทธิผลมากนักในการแก้ปัญหา เหมือนจะช่วยคนจน แต่กลับสร้างปัญหาไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ อัตราดอกเบี้ยเป็นเครื่องมือวัดความเสี่ยง ในหลักการทางการเงิน ยิ่งเสี่ยงสูงอัตราดอกเบี้ยยิ่งสูงเพื่อชดเชยความเสี่ยง 
และดอกเบี้ยสะท้อนต้นทุนของการทำธุรกิจ ซึ่งหากเป็นรายย่อยมาก ๆ มีการเรียกเก็บเป็นรายวันจะยิ่งมีต้นทุนสูงขึ้น การแก้ปัญหาธุรกิจเช่าซื้อคิดอัตราดอกเบี้ยสูงจึงต้องแก้โดยการเปิดเสรีทางการเงินเพิ่มขึ้น ไม่ใช่ลดลง และ เพิ่มการแข่งขัน ไม่ให้มีอำนาจผูกขาด ดอกเบี้ยเงินกู้เฉลี่ยจะปรับลงมาเอง และ จะไม่มีกิจการเช่าซื้อใดคิดดอกเบี้ยในอัตราที่ไม่เหมาะสม เพราะหากกิจการทำเช่นนั้นจะสูญเสียธุรกิจให้คู่แข่งที่คิดอัตราดอกเบี้ยถูกกว่า เป็นธรรมกว่า กลไกตลาดจะทำงานหากปล่อยให้มีการแข่งขันอย่างเสรีจริง