รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กส่วนตัว สถานการณ์โควิดทั่วโลก 30 ตุลาคม 2564 ขณะนี้ยอดตายทั่วโลกทะลุ 5 ล้านคนไปแล้ว รายงานตัวเลขเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2564 ทั่วโลกติดเพิ่ม 461,639 คน ตายเพิ่ม 7,504 คน รวมแล้วติดไปรวม 246,719,394 คน เสียชีวิตรวม 5,003,852 คน โดย 5 อันดับแรกที่ติดเชื้อสูงสุดคือ อเมริกา สหราชอาณาจักร รัสเซีย ยูเครน และตุรกี
"จำนวนติดเชื้อใหม่ในแต่ละวันของทั่วโลกตอนนี้ มาจากทวีปเอเชีย ยุโรป และอเมริกาเหนือ ซึ่งรวมกันคิดเป็นร้อยละ 94.59 ของทั้งโลก ในขณะที่จำนวนการเสียชีวิตคิดเป็นร้อยละ 91.28"
รศ.นพ.ธีระ ย้ำว่า สถานการณ์ในประเทศไทย เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2564 มีผู้ติดเชื้อเพิ่ม 8,968 คน สูงเป็นอันดับ 13 ของโลก หากรวม ATK อีก 4,575 คน จะขึ้นเป็นอันดับ 8 ของโลก และไม่ว่าจะเป็นแค่ยอดที่รายงานทางการ หรือจะรวม ATK ก็ยังคงเป็นอันดับ 1 ของอาเซียนอย่างต่อเนื่อง
คุณหมอธีระ ยังระบุอีกว่า สถานการณ์ภาพรวมของโลกควรติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นในหลายต่อหลายประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุโรป นอกจากนี้ ยังดูเหมือนจุดต่ำสุดของระลอกสายพันธุ์เดลต้านี้ ดูจะสูงกว่าจุดต่ำสุดของระลอกสายพันธุ์อัลฟ่าและระลอกสายพันธุ์ G
ข้อควรสังเกตุ หมอธีระ แนะนำให้ดูสถานการณ์ของประเทศชิลี และเดนมาร์ก หลังเปิดเสรีการใช้ชีวิตและเดินทางระหว่างประเทศ โดยรายงานจาก Worldometer พบว่า เดนมาร์กในรอบ 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา จำนวนติดเชื้อใหม่ต่อวันเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่า จาก 457 คน ณ 28 กันยายน เพิ่มขึ้นเป็น 1,847 คน ณ 28 ตุลาคม ในขณะที่ชิลี เพิ่มขึ้นถึงเกือบ 5 เท่า จาก 431 คน ณ 28 กันยายน ไปเป็น 2136 คน ณ 28 ตุลาคม
"นี่คือข้อมูลที่สะท้อนให้เห็น และคนไทยควรพิจารณาเตรียมการรับมือหลังจากมีการเปิดประเทศต้นเดือนหน้า อย่างที่เคยบอกไปว่าจะมี gap time อยู่ราว 6-8 สัปดาห์ ดังนั้นช่วงที่ควรระวังมากๆ คือช่วงตั้งแต่คริสตมาสเป็นต้นไป"
อย่างไรก็ตาม ไทยเรานั้นจะเสี่ยงกว่าชิลีและเดนมาร์ก เพราะข้อจำกัดเรื่องศักยภาพระบบการตรวจคัดกรองโรค ความครอบคลุมของการฉีดวัคซีนครบโดสที่น้อยกว่า และสถานการณ์ระบาดรายวันนั้นอยู่ระดับหลักหมื่นหากรวม ATK ดังนั้น gap time ที่กล่าวไว้ข้างต้นอาจสั้นลงกว่าเดิม
นอกจากนี้ หมอธีระ ยังอัพเดตวัคซีน โดยอธิบายว่า Novavax เป็นวัคซีนประเภท recombinant protein nanoparticle ซึ่งมีประสิทธิผลสูงถึงกว่า 90% ในหลายประเทศ เช่น อเมริกา เม็กซิโก สหราชอาณาจักร ฯลฯ และได้พิสูจน์ในการวิจัยทางคลินิกระยะที่ 3 ว่า ได้ผลต่อสายพันธุ์ที่น่ากังวล (variants of concern) ด้วย โดยมีความปลอดภัยสูง อาการไม่พึงประสงค์น้อย และมีกลุ่มประชากรที่ศึกษาตั้งแต่อายุ 18 ปีขึ้นไปรวมถึงกลุ่มผู้สูงอายุด้วย
ล่าสุด ได้มีการยื่นขอขึ้นทะเบียนกับทางหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องในสหราชอาณาจักร และออสเตรเลียแล้ว เพื่อใช้ในคนอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป
เชื่อว่าวัคซีนนี้จะเป็นอาวุธสำคัญที่ช่วยในการต่อสู้โควิด-19 ได้อย่างมาก เพราะข้อได้เปรียบทั้งในแง่ประสิทธิผลในการป้องกันโรคโควิด-19 การจัดเก็บวัคซีน และเรื่องความปลอดภัยและอาการไม่พึงประสงค์..."รัฐบาลควรพิจารณาวัคซีนนี้เพื่อหาทางจัดซื้อจัดหา และนำมาใช้"
หมอธีระ ย้ำปิดท้ายโพสต์ว่า สถานการณ์ระบาดของเรายังรุนแรงต่อเนื่อง ขอให้ประชาชนทุกคนใช้ชีวิตอย่างมีสติ ป้องกันตัวอย่างเป็นกิจวัตร ใส่หน้ากาก เพราะสำคัญมาก อยู่ห่างคนอื่นเกินหนึ่งเมตร จะช่วยลดอัตราติดเชื้อลงได้ 5 เท่า