รายงานข่าวระบุว่า น.พ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ (หมอเฉลิมชัย) รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา โพสต์ blockdit ส่วนตัว "ร้อยแปดพันเก้ากับหมอเฉลิมชัย" โดยมีข้อความว่า
ข่าวดีมาก !! ครม.อนุมัติงบประมาณ 3625 ล้านบาท ผลักดันเต็มที่ให้วัคซีนของจุฬาฯสองชนิด สามารถผลิตออกมาใช้ได้จริงโดยเร็ว
จากสถานการณ์โควิดระบาดทั่วโลก และวัคซีนเป็นคำตอบสำคัญ ที่จะช่วยควบคุมการระบาด และลดจำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิดลงได้
ในช่วงที่ผ่านมา วัคซีนชั้นนำที่ใช้ในประเทศไทย ล้วนแต่เป็นการนำเข้าทั้งสิ้น
แต่คู่ขนานไปในเวลาเดียวกัน เราก็จะทราบว่า มีโครงการวิจัยวัคซีนของเราอยู่อย่างน้อย 4 ชนิด ที่มีความหวัง เริ่มทดลองในมนุษย์แล้ว ได้แก่
1.วัคซีนของคณะแพทยศาสตร์จุฬา ChulaCov-19 ใช้เทคโนโลยี mRNA เหมือนวัคซีนของ Pfizer และ Moderna
2.วัคซีนของบริษัทใบยาไฟโตฟาร์ม ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพของคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ใช้เทคโนโลยีโปรตีนเป็นฐาน แบบเดียวกับ Novavax
3.วัคซีนขององค์การเภสัชกรรมร่วมกับสถาบันวัคซีน เป็นเทคโนโลยีเชื้อตาย แบบเดียวกับ Sinovac และ Sinopharm
4.วัคซีนของบริษัทไบโอเนทเอเชีย เป็นเทคโนโลยี DNA
โดยวัคซีนที่ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่ในครั้งนี้ โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติในสองกรณี ได้แก่
1.อนุมัติงบประมาณ 2316 ล้านบาทในโครงการวิจัยพัฒนา ChulaCov-19 mRNA ของคณะแพทยศาสตร์จุฬาฯ เพื่อที่จะเร่งทำการทดลองในมนุษย์เฟสสาม ซึ่งเป็นเฟสสุดท้าย ให้สามารถขึ้นทะเบียน อย.ได้ และเตรียมการผลิตให้เรียบร้อย
จะมีประโยชน์อย่างมาก โดยจะเป็นฐานในการที่จะผลิตวัคซีนโควิดรุ่นที่สองได้ ซึ่งจะรองรับไวรัสกลายพันธุ์ และยังเป็นฐานการผลิตสำหรับสำหรับไวรัสอื่นต่อไปด้วย
ทั้งนี้มอบให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้กำกับ ติดตามและประเมินผล
2.เห็นชอบในหลักการ สำหรับวงเงิน 1309 ล้านบาท ที่จะให้บริษัทใบยาไฟโตฟาร์ม ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพของคณะเภสัชศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เร่งรายงานผลทดลองเฟสสองเสนอต่อสำนักงานคณะกรรมการสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์
โดยมีเป้าหมาย จะให้ทำการทดลองเฟสสาม จำนวนอาสาสมัคร 10,000 คน และมีเป้าหมายผลิตให้ได้ 60,000,000 โดสต่อปี
ทั้งนี้วัคซีน mRNA ของคณะแพทย์ศาสตร์จุฬาฯได้รับการอนุมัติวงเงินแล้ว พร้อมดำเนินการได้ทันที ซึ่งเป็นเทคโนโลยี mRNA แบบเดียวกับ Pfizer และ Moderna ซึ่งจากรายงานการทดลองเฟสสามของทั้งสองบริษัทดังกล่าว ต้องใช้อาสาสมัครจำนวน 3-40,000 คน
โดยที่จะต้องทำการตรวจทุกอย่างในอาสาสมัคร ทั้งในเรื่องประสิทธิผลคือ ภูมิคุ้มกันประเภทต่างๆ รวมทั้งการทำงานของเซลล์ชนิดต่างๆในระบบภูมิคุ้มกันที่มีความสลับซับซ้อน และยังต้องตรวจอาสาสมัครทุกคน เป็นระยะ ในเรื่องผลข้างเคียงต่ออวัยวะทุกอวัยวะ ไม่ว่าจะเป็นเลือด ปัสสาวะ อุจจาระ ตลอดจนต้องทำการเอ็กซเรย์ และตรวจเซลล์พิเศษต่างๆซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงมาก
โดยที่ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้จะอยู่ประมาณคนละ 80,000 ถึง 200,000 บาท และขั้นต่ำที่จะประหยัดที่สุด เท่าที่จะได้รับรองมาตรฐานสากล คือ ต้องทดลองในอาสาสมัครอย่างน้อย 20,000 คน
ดังนั้นวงเงินที่อนุมัติมาให้ 2316 ล้านบาท จึงมีความเหมาะสมที่จะได้มาตรฐานที่สากลจะยอมรับ
โดยถือว่าเป็นการใช้งบประมาณประหยัดที่สุด เท่าที่จำเป็น
นับเป็นข่าวดีมาก ที่คนไทยจะได้มีความหวังของการที่จะมีวัคซีนอย่างน้อยสองชนิด ที่จะผ่านการทดลองเฟสสาม และสามารถขึ้นทะเบียน อย.เพื่อใช้กับคนไทยได้ในระยะเวลาอันใกล้ และยังเป็นการสร้างความแข็งแรงและความพร้อมของระบบวัคซีนของไทย ที่อาจจะมีไวรัสหรือแบคทีเรียชนิดอื่นเกิดขึ้นในอนาคต
เราจะสามารถปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตวัคซีน โดยใช้เวลาอันสั้น เพื่อรองรับการระบาดที่ไม่มีใครคาดหมายได้ว่าจะเกิดขึ้นอย่างไร และเมื่อไหร่ในอนาคต
ขอแสดงความชื่นชม ให้กำลังใจ และขอบคุณกับทุกภาคส่วน ที่เกี่ยวข้องในการผลักดันให้มีการอนุมัติงบประมาณในครั้งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขอให้กำลังใจกับทีมวิจัยทุกทีมทุกคน
สำหรับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในประเทศไทยนั้น "ฐานเศรษฐกิจ" ติดตามข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข พบว่า ตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ.-3 พ.ย. 64 มีการฉีดวัคซีนสะสมจำนวน 77,831,474 โดส แบ่งเป็นเข็มที่ 1 จำนวน 43,112,788 ราย เข็มที่ 2 จำนวน 32,223,467 ราย และเข็มที่ 3 จำนวน 2,495,219 ราย