ศบค.สรุปเปิดประเทศ22วัน นักท่องเที่ยวดื้อ ไม่สวมแมสก์

22 พ.ย. 2564 | 09:22 น.
อัปเดตล่าสุด :22 พ.ย. 2564 | 16:27 น.

ศบค.สรุปเปิดประเทศ22วัน นักท่องเที่ยวดื้อ ไม่สวมแมสก์ บางโรงแรมเอาเปรียบ เบื้องต้น ขอความร่วมมือนักท่องเที่ยว-โรงแรมให้ทำตามพ.ร.บ.โรคติดต่อของไทย หากฝ่าฝืนร่วมกัน ถือเป็นความผิดมีโทษปรับสูงสุด 20,000 บาท

วันที่ 22 พ.ย. 64 พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) กล่าวว่า ในที่ประชุม ศปก.ศบค. ซึ่งมีจังหวัดนำร่องท่องเที่ยวเข้าร่วมประชุม โดยมีการรายงานข้อขัดข้องในการดำเนินการเปิดประเทศที่ผ่านมา อันดับแรกพบว่านักท่องเที่ยวบางรายไม่ปฏิบัติตามมาตรการทางสาธารณสุขของประเทศไทย ส่วนใหญ่คือ การปฏิเสธสวมหน้ากากผ้า หน้ากากอนามัย รวมกลุ่มสังสรรค์รับประทานอาหารร่วมกัน นำไปสู่การติดเชื้อ ต้องขอบคุณสถานประกอบการและโรงแรม ที่ได้รายงานเข้ามายังศบค. และเจ้าหน้าที่ช่วยเป็นตัวแทนประเทศไทย ช่วยสังเกตความผิดปกติ การไม่ปฏิบัติตามมาตรการ มีการตักเตือนในเบื้องต้น ขอความร่วมมือนักท่องเที่ยว จึงขอย้ำว่าภายใต้พ.ร.บ.โรคติดต่อของประเทศไทย การไม่สวมหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะ การรวมกลุ่มทำกิจกรรมร่วมกัน ถือเป็นความผิดมีโทษปรับสูงสุด 20,000 บาท

 

 

พญ.อภิสมัย กล่าวว่า ขณะเดียวกัน พบว่า ยังมีโรงแรมที่เอาเปรียบนักท่องเที่ยว เข้าเกณฑ์หลอกลวง แต่มีส่วนน้อย โดยมีการรายงานในที่ประชุมว่ามีนักท่องเที่ยวบางส่วนที่จองโรงแรมผ่านทางเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชั่น และเป็นการจองเฉพาะห้องพัก ไม่รวมแพ็คเก็จที่มีรถรับส่งสนามบิน ไม่มีการซื้อชุดตรวจ ATK หรือ RT-PCR อีก 1 ชุด เมื่อนักท่องเที่ยวไม่ทราบว่าพอลงจากสนามบินต้องมีรถรับส่ง ต้องมีการตรวจโควิด-19 ทำให้เมื่อเดินทางมาถึงจะไม่สามารถเข้าประเทศได้ ต้องจองที่พักและแพ็กเก็จใหม่ อีกทั้งโรงแรมเดิมก็ปฏิเสธคืนค่าห้องพัก จึงขอความร่วมมือผู้ประกอบดำเนินการอย่างถูกต้อง

“ผ่านมา 22 วัน ที่เปิดประเทศ ถ้าโรงแรมไหนบอกว่าไม่รู้รายละเอียดข้อปฏิบัติ ยังทำถูกต้องไม่ได้ ดูแล้วจะเป็นลักษณะมีเจตนาขายเฉพาะห้องพักโดยไม่รวมรถรับส่งสนามบิน การตรวจ RT-PCR  โดยมีรายงานว่าบางโรงแรมมีเจตนาทำให้ประเทศชาติเสียชื่อเสียง มีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ความเชื่อมั่นต่อการกำกับมาตรการของประเทศไทยและมีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาด โควิด-19 ศบค. ได้รับรายงานปัญหามาโดยตลอด ดังนั้น ขอความร่วมมือหน่วยงานภาคเอกชน โรงแรม ที่เราจะต้องทำไปในทิศทางเดียวกันให้ถูกมาตรฐาน”

พญ.อภิสมัย กล่าวว่า ปัจจัยความสำเร็จที่จะเกิดขึ้นได้ การผ่อนคลายจะเกิดขึ้นได้ ต้องเป็นไปตามแผนหน่วยงานภาครัฐที่ต้องติดตามกำกับมาตรการอย่างใกล้ชิด ไม่ย่อหย่อนมาตรการ และขอความร่วมมือเอกชน สถานประกอบการ ให้ร่วมมือปฏิบัติตามมาตรการโควิดฟรีเซ็ตติ้งอย่างเข้มงวด เมื่อเข้าสู่มาตรฐาน SHA หรือ SHA+ ก็จะรองรับการเปิดประเทศ ผ่อนคลายได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม การผ่านมาตรฐาน ไม่เฉพาะโรงแรมหรือร้านอาหาร แต่รวมถึงสถาบันกวดวิชา โรงเรียนสอนดนตรี ขนส่งสาธารณะ รถตู้ รถประจำทางไม่ประจำทาง บริษัทนำเที่ยว ก็สามารถรับมาตรฐาน SHA หรือ SHA+ ได้ โดยดูจากเว็บไซต์กรมอนามัยกระทรวงสาธารณสุข เราต้องสร้างสังคมที่ช่วยกันเป็นหูเป็นตา เป็นสังคมวิถีใหม่ ผู้ประกอบการที่ทำตามมาตรฐานได้ดีต้องได้รับความชื่นชม ให้กำลังใจ ใครยังทำไม่ได้ครบถ้วนต้องช่วยสนับสนุนกัน เพื่อให้การเปิดประเทศเป็นไปอย่างปลอดภัย ประชาชนสามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติ