ฉีดวัคซีนโควิดเข้าชั้นผิวหนัง ดียังไง ภูมิขึ้นเท่าไหร่ อยู่นานแค่ไหน เช็ก

30 ธ.ค. 2564 | 11:09 น.
อัปเดตล่าสุด :30 ธ.ค. 2564 | 17:58 น.

ฉีดวัคซีนโควิดเข้าชั้นผิวหนัง ดีอย่างไร ภูมิขึ้นเท่าไหร่ อยู่นานแค่ไหน เช็กเลย หมอธีระวัฒน์เผยข้อมูลเปรียบเทียบกับการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ

รายงานข่าวระบุว่า ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา (หมอธีระวัฒน์) ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว (ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha)โดยมีข้อความว่า
ความเข้าใจทึ่ถูกต้องของการฉีดวัคซีนโควิดเข้าชั้นผิวหนัง
1.ภูมิขึ้นเท่ากับเข้ากล้าม
2.ภูมิอยู่นานพอกัน
3.ผลข้างเคียงน้อยกว่า อย่างน้อย 10 เท่า
4.ฉีดสบายๆ

5.เรื่องของทีเซลล์ การฉีดชั้นผิวหนังจะมีตัวจับย่อยวัคซีนสองชนิดด้วยกัน ไม่ใช่ชนิดเดียวแบบในกล้ามเนื้อ และส่งผ่านไปยังต่อมน้ำเหลืองซึ่งจะเกิดปฏิกิริยาขั้นต้น คือ ที เชลล์ ถูกกระตุ้นโดยใช้เวลาประมาณสี่วัน ตามการศึกษาตั้งแต่ปี 2008 โดยใช้วิธี 2 photon microscopy และจะควบรวมสัมพันธ์กับบีเซลล์ในการสร้างภูมิคุ้มกันในน้ำเหลืองต่อ
(และ ชั้นผิวหนังเป็น Th2 ฉีดเข้ากล้ามเป็น Th1)
การกระตุ้นทีเซลล์ ดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย

การฉีดวัคซีนโควิดเข้าชั้นผิวหนัง
ตัวคนแต่ละคน ที่แบ่งออกเป็นตอบสนองกับวัคซีนได้สูงกลางต่ำ ซึ่งทราบกันดีมาตั้งแต่ก่อนปี 2010 
ขึ้นอยู่กับอายุและมีโรคประจำตัวหรือไม่
ขึ้นอยู่กับชนิดของวัคซีน ทั้งนี้แม้แต่ SV (Sinovac) SV AZ (AstraZeneca) แม้กระตุ้นภูมิได้น้ำเหลืองได้สูงมากแต่การตอบสนองของที่เซลล์นั้นยังพบได้น้อยก็มี
 

การลดความรุนแรงไม่ได้ขึ้นกับทีเซลล์อย่างเดียว ยังขึ้นอยู่กับภูมิในน้ำเหลือง และยังขึ้นอยู่กับความรวดเร็วทันท่วงทีในอวัยวะนั้นๆ นั่นคือ ทันที ถูกที่ ถูกเวลา
ตั้งแต่ 37 ปีที่แล้ว ที่มีการริเริ่มฉีดเข้าชั้นผิวหนังของวัคซีนโรคพิษสุนัขบ้า เจอความเข้าใจผิดว่า ภูมิขึ้นน้อย-ภูมิอยู่สั้น-ผลข้างเคียงมาก-ฉีดยาก ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเข้าใจผิดทั้งหมด และในวัคซีนโควิดเช่นกันพิสูจน์ซ้ำ ทั้งสี่ข้อ 
ส่วนในข้อที่ห้านั้น อาจต้องเข้าใจว่าแม้การติดเชื้อโควิดตามธรรมชาติที่เป็นการสร้างภูมิที่ดีที่สุด ระบบความจำทีเซลล์นั้นก็ไม่ได้อยู่ยั่งยืนตลอดและหายไปตั้งแต่หกเดือนขึ้นไปก็มี ส่วนภูมิในน้ำเหลืองหายไปภายในเป็นสัปดาห็ก็มีในบางราย
สำหรับสถานการณ์การฉีดวัคซีนโควิด-19 (Covid-19) ในประเทศไทยนั้น "ฐานเศรษฐกิจ" ติดตามข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขพบว่า ตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ. - 29 ธ.ค. 64 มีการฉีดสะสมแล้วทั้งหมด 103,894,611 โดส แบ่งเป็นเข็มที่ 1 จำนวน 51,205,920 ราย เข็มที่ 2 จำนวน 45,928,719 ราย และแบ่งเป็นเข็มที่ 3 จำนวน 6,759,972 ราย