ฟาวิพิราเวียร์ทำให้ตาเปลี่ยนสีจริงหรือไม่ ทำไมเด็กติดโอมิครอนมาก เช็คเลย

11 ม.ค. 2565 | 22:11 น.
อัปเดตล่าสุด :11 ม.ค. 2565 | 22:16 น.

ฟาวิพิราเวียร์ทำให้ตาเปลี่ยนสีจริงหรือไม่ ทำไมเด็กติดโอมิครอนมาก อ่านครบจบที่นี่ หมอนิธิพัฒน์แจงชัดทุกประเด็น ชี้เดลตาครอนอาจเป็นความคลาดเคลื่อนในการตรวจของห้องปฏิบัติการ

รศ.นพ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล (หมอนิธิพัฒน์) หัวหน้าสาขาวิชาโรคระบบการหายใจและวัณโรค ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว (นิธิพัฒน์ เจียรกุล) โดยมีข้อความส่วนหนึ่งระบุว่า

 

 

กินยาฟาวิพิราเวียร์แล้วตาขาวเป็นสีน้ำเงินอมม่วงจริงไหม ตอบว่าจริง เป็นผลจากตัวยาเองที่ให้ขนาดสูงมากในวันแรก จะมีสารเรืองแสงสีน้ำเงินจากการสลายตัวของยาไปติดอยู่ตามตาขาวและเล็บได้ ไม่ทำอันตรายต่อร่างกายและหายไปได้เองในสองสามวัน เคยพบกันมากช่วงการระบาดในทัณฑสถานเมื่อกลางปีก่อน 
 

 

 

เดลตาครอน ที่รายงานจากไซปรัสน่ากลัวไหม เท่าที่สืบค้นดู ทางภาคการแพทย์กำลังตรวจสอบจริงจังกับห้องปฏิบัติการที่รีบออกมารายงาน ว่าเป็นสายพันธุ์ลูกผสมอย่างว่าจริงไหม เพราะความเชื่อมโยงทางพันธุกรรมเป็นไปได้ยาก หรืออาจเป็นความคลาดเคลื่อนในการตรวจของห้องปฏิบัติการนั้นเอง

Flurona ที่รายงานเป็นครั้งแรกจากประเทศอิสราเอลน่าตื่นเต้นไหม สำหรับการมีผู้ป่วยติดโควิดกับไข้หวัดใหญ่ในเวลาไล่เลี่ยกัน ที่จริงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ทางการแพทย์ ซึ่งโรคติดเชื้อจะเกิดในคนหลายโรคในเวลาใกล้เคียงกัน โดยเฉพาะโรคติดเชื้อที่มีความชุกสูงเช่นที่เกิดจากเชื้อไวรัส บ้านเราพบประปราย

 

 

ทั้งไข้เลือดออกและไข้หวัดใหญ่ ไข้เลือดออกและโควิด หรือ โควิดและไข้หวัดใหญ่เช่นกรณีนี้ แต่ทั้งหมดไม่ได้ทำให้ความรุนแรงของแต่ละโรคเพิ่มขึ้น และช่วยขับเน้นความสำคัญของการฉีดวัคซีนโควิดและไข้หวัดใหญ่ไปในเวลาใกล้เคียงกัน ถ้าเป็นได้ให้ห่างกันอย่างน้อย 7 วัน

 

เดลตาครอนอาจเป็นความคลาดเคลื่อนในการตรวจของห้องปฏิบัติการ

 

 

ส่วนทำไมถึงว่าการรายงานยอดผู้ป่วยรายวันต่ำกว่าความเป็นจริงเพราะไม่รวมรายตรวจ ATK ใครสนใจลองไปรวมตัวเลขรายงานแต่ละวันแล้วย้อนหลังไปวันก่อนๆ หน้า คงเห็นเช่นเดียวกับที่นำเสนอ ยิ่งในแวดวงแพทย์ด้วยกันแล้วจะรับทราบกันดีอยู่แต่ไม่อยากเอ่ยถึง

 

 

ถ้าเรามีระบบรายงานที่ถูกต้องตามการวินิจฉัยทางการแพทย์ สถิติประเทศจะมีความแม่นยำและนำไปสู่การแก้ไขปัญหาตรงจุดและครอบคลุม ประชาชนจะมั่นใจและให้ความร่วมมือ ที่สำคัญถ้ารวมราย ATK เป็นบวกแล้วรักษาอยู่นอกโรงพยาบาลเข้ามาให้ครบด้วย ตัวเลขสัดส่วนผู้ป่วยอาการรุนแรงและผู้ป่วยเสียชีวิตก็จะต่ำกว่าที่รายงานกันอยู่ขณะนี้ด้วย

การให้คาดเดาว่าระลอกห้าจะไปต่อแรงแค่ไหน มีความเห็นว่ามีสามตัวแปรที่ยากคาดเดา หนึ่งการยกการ์ดสูงของประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศจะทำกันได้ดีต่อไปแค่ไหน สองการควบคุมผู้แตกแถวรวมกลุ่มในกิจกรรมเสี่ยงทำได้เข้มแข็งเพียงไร ทั้งโดยประชาชนกันเองช่วยสอดส่องและภาครัฐที่คอยกวดขัน (ประการหลังดูน่าห่วงกว่า)

 

 

และสามพฤติกรรมของโอมิครอนในบ้านเราจะเป็นอย่างไร ถ้าเจอกับคนฉีดวัคซีนกันมากแถมระวังตัวกันดีด้วย แต่ถ้าให้เดาคิดว่าคงจะค่อยๆ เพิ่มไม่ฮวบฮาบจนถึงจุดสูงสุดช่วงปลายเดือน จากนั้นจะลดลงต่อเนื่องเหมือนที่เกิดขึ้นในหลายประเทศซึ่งนำหน้าไปก่อน

 

 

การระบาดของโอไมครอนในกลุ่มเด็ก ในระลอกที่ผ่านมาช่วงเดลตาครองตลาด มีผู้ป่วยเด็กประมาณ 10-15% ของผู้ป่วยทั้งหมด เพราะช่วงนั้นยังมีการฉีดวัคซีนในผู้ใหญ่และเด็กกันน้อย บางส่วนมีอาการรุนแรงโดยเฉพาะรายที่เกิดการอักเสบในหลายอวัยวะ (multisystem inflammatory syndrome) ซึ่งพบในเด็กบ่อยกว่าผู้ใหญ่ ช่วงนี้แม้จะฉีดมากขึ้นในผู้ใหญ่แต่ภูมิเริ่มตก ส่วนเด็กก็ยังฉีดแค่ในช่วง 12-17 ปีเป็นหลัก 

 

 

รอบนี้จึงมีผู้ป่วยเด็กรายวันอย่างน้อย 10% ที่ทำงานอยู่เมื่อวานก็มี 5 จาก 30 ราย ทั้งหมดอาการไม่รุนแรง แต่ต้องระวังในเด็กอายุน้อยและที่มีโรคเรื้อรังเดิมที่ผู้ใหญ่นำโควิดกลับเข้าบ้านไปฝาก ยังดีว่าข้อมูลทั้งจากภายนอกและภายในประเทศ ขณะนี้ไม่พบอาการรุนแรงของโอมิครอนในเด็กต่างจากเดลตา