"โรคซิฟิลิสหลวงปู่แสง” 14 เรื่องควรรู้ ติดต่อได้แม้ไม่ได้มีเพศสัมพันธ์

14 พ.ค. 2565 | 08:20 น.
อัปเดตล่าสุด :14 พ.ค. 2565 | 15:38 น.

“โรคซิฟิลิสหลวงปู่แสง” 14 เรื่องควรรู้ เพราะถือว่าโรคนี้เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างหนึ่ง โรคที่ติดต่อได้ง่าย วันนี้เรามาทำความเข้าใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับ โรคซิฟิลิส นี้กันดีกว่า

กรณีนายจีรพันธ์ เพชรขาว หรือ หมอปลา มือปราบสัมภเวสี พร้อม น.ส.รภัสรณ์ ฤทธิธนไพบูลย์ หรือ น้ำฟ้า ภรรยา และทีมสื่อมวลชน เข้าตรวจสอบภายในที่พักสงฆ์ดงสว่างธรรม ต.โคกนาโก อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร

หลังมีคนร้องเรียนพร้อมนำคลิปวิดีโอที่ หลวงปู่แสง ญาณวโร อายุ 98 ปี พยายามแตะเนื้อต้องตัวสีกาบนกุฎิมาเผยแพร่ ต่อมาเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของหมอปลาและภรรยา มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม

นางทักษิณา ดีหอม อายุ 52 ปี หลานสาวของหลวงปู่แสง นำเอกสารการเข้ารับการรักษาอาการอาพาธของหลวงปู่แสงที่โรงพยาบาลเอกชน มาแสดงให้ผู้สื่อข่าวดู เพื่อยืนยันว่าหลวงปู่ป่วยเป็นโรคสมองฟ่อ เป็นอัลไซเมอร์จริง และท่านป่วยหลายโรค ทั้งมาเลเลียครั้งที่เคยเข้าป่า และ "ซิฟิลิส" ด้วย

ก่อนหน้านั้น "ฐานเศรษฐกิจ" รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ "โรคอัลไซเมอร์" หรือภาวะสมองเสื่อมมาให้ได้ทำความเข้าใจกันแล้ว วันนี้ขอพามาดูข้อมูลโรคซิฟิลิสกันบ้าง เพื่อป้องกันการเกิดโรคต่างๆ

 

ซิฟิลิส คืออะไร

  • โรคติดต่อที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่ง ที่สามารถเข้าสู่ร่างกายได้และซิฟิลิสผ่านการมีเพศสัมพันธ์มากที่สุด
  • เมื่อได้รับเชื้อสู่ร่างการแล้วจะกระจายไปตามกระแสโลหิต
  • ยังอาศัยอยู่ในร่างการของมนุษย์ได้เกือบทุกส่วนในร่างกาย แต่ว่าหากเราตรวจพบเจอตั่งแต่เนิน ๆ ก็สามารถที่จะรักษาได้หาดขาด
  • ไม่ใช่แค่การต้องมีเพศสัมพันธ์แล้วจะติดโรคได้เท่านั้น แต่เชื้อยังสามารถแพร่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ผ่านการสัมผัส แผลติดเชื้อ การจูบ หรือการติดต่อจากแม่สู่ลูก

 

สาเหตุของโรคซิฟิลิส

  • มาจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า ทริปโปนีมา พัลลิดุม (Treponema Pallidum) และถูกจัดเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
  • มาจากการใช้เข็มฉีดยารวมกับผู้อื่น การรับเลือดจากผู้อื่น
  • เชื้ออาจมีอยู่ตามธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ เช่น เชื้อจากคนที่เป็นโรคแพร่ลงในแหล่งน้ำ ห้องน้ำสาธารณะ สระว่ายน้ำ ฯลฯ จากนั้น เชื้อจะเข้าสู่เยื่อเมือกหรือบาดแผลตามร่างกาย เช่น ช่องปาก เยื่อบุตา ช่องคลอด ท่อปัสสาวะ ทวารหนัก เป็นต้น
  • เชื้อยังสามารถอยู่รวมไปถึงหญิงตั้งครรภ์ที่มีเชื้อสามารถส่งผ่านเชื้อไปยังทารกในครรภ์ได้เช่นกัน

 

อาการโรคซิฟิลิส

อาการของโรคซิฟิลิสมีทั้งหมด 4 ระยะด้วย

 

โรคซิฟิลิสระยะที่หนึ่ง 

  • อาการระยะแรกของผู้ติดเชื้อซิฟิลิส โดยผู้ป่วยจะมีแผลเล็กลักษณะแข็ง สีแดง ทางการแพทย์เรียกว่า “แผลริมแข็ง” (Chancre) ขึ้นบริเวณช่องคลอด อวัยวะเพศ ใต้หนังหุ้มปลายองคชาต ทวารหนัก หรือปาก
  • ผู้ป่วยบางรายอาจมีแผลเพียงจุดเดียวหรือหลายจุดก็ได้ โดยที่แผลดังกล่าวจะไม่มีอาการเจ็บปวด มักจะแสดงอาการหลังจากได้รับเชื้อซิฟิลิสเข้าสู่ร่างกายประมาณ 10 วัน – 3 เดือน
  • หรือในบางรายอาจแสดงอาการเร็วกว่าเพียง 3 สัปดาห์เท่านั้น และหลังจากนั้นอาการต่างๆเหล่านี้จะหายได้เองภายใน 3-6 สัปดาห์ แต่อย่างไรก็ตามเชื้อซิฟิลิสยังคงกระจายตัวอยู่ร่างกายของผู้ป่วย

 

โรคซิฟิลิสระยะที่สอง 

  • อาการที่เกิดขึ้นหลังจากแผลริมแข็งหายไปประมาณ 1-3 เดือน ผู้ป่วยจะมีผื่น ตุ่มนูน ลักษณะคล้ายหูด ขึ้นบริเวณลำตัว ฝ่ามือ ฝ่าเท้า และอวัยวะเพศ หรือผู้ป่วยบางรายอาจมีผื่นขึ้นบริเวณอื่นๆตามร่างกาย
  • ผื่นนี้จะไม่มีอาการคัน แต่จะมีอาการปวดกล้ามเนื้อ มีไข้ มีอาการเจ็บคอ อ่อนเพลีย ผมร่วง หรือต่อมน้ำเหลืองบวมผิดปกติ อาการเหล่านี้จะหายไปเองหรือกลับมาเป็นซ้ำได้อีกครั้ง
  • มีอาการไข้
  • เจ็บคอ
  • ต่อมน้ำเหลืองโต
  • บางคนมีอาการปวดกล้ามเนื้อ​

 

โรคซิฟิลิสระยะแฝง หรือ ระยะสงบ 

  • ระยะนี้ต่อเนื่องมาจากผู้ป่วยกว่า 30% ที่ไม่ได้รับการรักษาในระยะที่ 2 อย่างถูกต้องและเหมาะสม จนส่งผลให้เกิดเป็นระยะแฝงในที่สุด
  • โรคอาจดำเนินเข้าสู่ระยะที่ 3 ได้ง่ายมากขึ้น โดยระยะแฝงนี้จะยังคงมีเชื้อซิฟิลิสอยู่ภายในร่างกายเป็นระยะเวลานานหลายปี โดยจะไม่มีอาการแสดงอย่างชัดเจนแต่อย่างใด

 

โรคซิฟิลิสระยะที่สาม 

  • เป็นระยะสุดท้ายของผู้ป่วยโรคซิฟิลิส เกิดจากผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที มีมักจะแสดงอาการหลังจากได้รับเชื้อ 10-20 ปี ทำให้เชื้อลุกลามไปทั่วร่างกายจนส่งผลให้ร่างกายถูกทำลายมากขึ้นเรื่อยๆ
  • ระยะนี้จะแสดงอาการอย่างชัดเจน เช่น สมองเสื่อม ตาบอด อัมพาต หูหนวก โรคหัวใจ ไร้สมรรถภาพทางเพศ และอาจเสียชีวิตได้ในที่สุด

 

การรักษาซิฟิลิส

  • รักษาได้ด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะในกลุ่มเพนิซิลลิน (Penicillin) เป็นหลัก สำหรับประเทศไทย
  • ส่วนใหญ่เป็นการรักษาด้วยยากลุ่มเพนิซิลลิน จี (Penicillin G) ที่แบ่งย่อยได้อีกหลายชนิด เช่น ยาเบนซาธีน เพนิซิลลิน จี (Benzathine Penicillin G) ยาเอเควียส เพนิซิลลิน จี (Aqueous Penicillin G)
  • แพทย์จะฉีดให้ผู้ป่วยโดยดูจากระยะเวลาในการป่วยว่าเป็นมานานเท่าใด และใช้ดุลพินิจในการรักษาในแต่ละคน

 

การป้องกันโรคซิฟิลิส

  • หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีเชื้อซิฟิลิส
  • ควรสวมถุงยางอนามัยเพื่อการป้องกันทุกครั้ง
  • ส่วนคู่รักที่วางแผนแต่งงาน ควรตรวจร่างกายโดยละเอียดและตรวจหาเชื้อซิฟิลิสด้วยก่อนการแต่งงานและวางแผนตั้งครรภ์ หากพบว่าติดเชื้อก็จะได้วางแผนรักษาให้หายขาดดีกว่าจะเกิดปัญหาสุขภาพ ด้วยการแพร่กระจายเชื้อให้อีกฝ่ายและส่งผ่านเชื้อให้ทารกในครรภ์ อาจทำให้ทารกพิการและเสียชีวิตในเวลาต่อไป

 

ซิฟิลิสเป็นเชื้อประเภทไหน เข้าสู่ร่างกายได้อย่างไร?

  • ซิฟิลิส เป็นเชื้อแบคทีเรียประเภทหนึ่ง ที่เข้าสู่ร่างกายผ่านทางบาดแผล บนผิวหนัง หรือเยื่อบุต่าง ๆ

 

มีอะไรกันแค่ภายนอก มีสิทธิติดซิฟิลิสไหม?

  • หากมีกิจกรรมภายนอก เช่น การทำรักทางปาก (ออรัลเซ็กส์) หรือใช้ลิ้นเลียบริเวณอวัยวะเพศ แล้วไปสัมผัสกับเชื้อซิฟิลิสโดยตรง บริเวณช่องปาก ลิ้น ช่องคลอด ทวารหนัก ฯลฯ ก็สามารถติดเชื้อซิฟิลิสได้

 

ถ้าติดซิฟิลิสแล้วจะมีอาการอย่างไร?

  • ไม่ใช่ทุกคนที่แสดงอาการของโรคซิฟิลิสทันที ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย ความแข็งแรงและโอกาสเสี่ยงที่มีบ่อยหรือไม่
  • เมื่อคนเราได้รับเชื้อไปแล้ว อาจอยู่ในระยะแฝงตัวได้นานหลายปี ทางที่ดีเมื่อรู้ว่าเสี่ยงให้รีบตรวจและรีบรักษา

 

ตุ่ม PPE คืออะไร?

  • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

 

ผื่นซิฟิลิส มีลักษณะอย่างไร?

  • ก่อนจะเกิดผื่นซิฟิลิสขึ้น จะต้องมีแผลริมแข็งเสียก่อน
  • แผลชนิดนี้จะมีขอบนูน แข็ง กดแล้วไม่เจ็บ ไม่ปวดอะไร ส่วนใหญ่จะพบได้มากที่อวัยวะเพศทั้งผู้ชายและผู้หญิง หรือริมฝีปาก
  • อาจสังเกตได้จากหลังวันที่มีความเสี่ยงที่ไม่ได้ป้องกันตั้งแต่สัปดาห์กว่าๆ ขึ้นไปจนถึงประมาณ 3 เดือน
  • แผลริมแข็งนี้ก็สามารถหายได้เองแม้ไม่ได้รักษาด้วย
  • หลังจากนั้นประมาณเดือนครึ่งถึงสอง เดือนอาจมีผื่นขึ้นตามลำตัว มือ เท้า หรือตามร่างกายต่างๆ ร่วมกับมีอาการปวดหัว ตัวร้อน มีไข้ คลื่นไส้อาเจียน ปวดเนื้อเมื่อยตัว
  • อาการเหล่านี้ก็สามารถหายไปได้เองภายในระยะเวลา 1-3 เดือน

 

ติดซิฟิลิสแล้ว ถ้ารักษาจะหายขาดไหม กลับมาเป็นซ้ำได้หรือเปล่า?

  • หากรู้ตัวว่ามีความเสี่ยงโรคซิฟิลิส และตรวจเจอตั้งแต่แรก มีโอกาสที่จะรักษาให้หายขาดได้
  • แต่หากอยู่ระยะที่เชื้อแฝงตัวนานแล้วก็ต้องให้แพทย์วินิจฉัยและรักษาไปตามระยะของโรคอาจใช้เวลานานกว่าเคสทั่วไป
  • ผู้ที่ติดเชื้อซิฟิลิสจะต้องทานยาอย่างเคร่งครัดและไปตามนัดหมอทุกครั้ง เพราะถึงแม้จะหายจากโรคซิฟิลิสแล้ว แต่ยังแนะนำให้ตรวจซ้ำทุกๆ 3 เดือนภายในระยะเวลา 3-5 ปีหลังจากทำการรักษา เพราะอาจจะมีเชื้อแฝงตัวเหลือรอดอยู่ หรือไม่เสี่ยงเพิ่ม

 

ป้องกันซิฟิลิสโดยมีเพศสัมพันธ์ที่ป้องกันและไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย

  • เป็นซิฟิลิสแล้ว ทำให้เป็นโรคเอดส์ใช่หรือไม่?
  • ซิฟิลิสกับเชื้อไวรัสเอชไอวี เป็นคนละโรคกัน แต่หากคุณเป็นโรคซิฟิลิสอยู่แล้วก็เพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสเอชไอวีได้มากกว่าคนปกติถึง 5 เท่า และคนที่ติดเชื้อเอชไอวีหากดูแลตัวเองได้ดี รับประทานยาต้านไวรัสอย่างเคร่งครัด ป้องกันตนเองก็ไม่สามารถติดโรคซิฟิลิสได้

 

ใครบ้างที่ควรตรวจโรคซิฟิลิส?

  • กลุ่มเสี่ยงในคนที่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย ไม่ใส่ถุงยางอนามัย ไม่ได้ป้องกันตัวเอง
  • กลุ่มคนที่คิดว่าคู่นอนของตัวเองมีความเสี่ยงต่อโรคซิฟิลิส
  • กลุ่มคุณพ่อคุณแม่ที่วางแผนจะมีบุตร

 

ทำอย่างไรถึงจะไม่ติดเชื้อซิฟิลิส?

  • ป้องกันตนเองด้วยการใช้ถุงยางอนามัยให้ทุกกิจกรรมทางเพศ
  • สังเกตุคู่นอนของตนเองหรือมีเพศสัมพันธ์กับแฟนของตัวเองที่มั่นใจว่าปลอดเชื้อ ไม่ใช้บริการทางเพศหรือเปลี่ยนคู่นอนบ่อย

ข้อมูล : มูลนิธิเพื่อรัก โรงพยาบาลเพชรเวช