โควิดโอมิครอนสายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 กำลังเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากสายพันธุ์ทั้ง 2 ดังกล่าวมีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งไปจากเดิมมาก 80-90 ตำแหน่ง
โดยประเทศแถบยุโรปและแอฟริกาใต้ พบโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.5 และ BA.4 เพิ่มมากขึ้น
ขณะที่ในประเทศไทยก็พบผู้ป่วย BA.5 จำนวน 26 คน BA.4 จำนวน 23 คน
จากฐานข้อมูลโควิดโลก หรือ GISAID มีรายงานในประเทศแถบยุโรปและแอฟริกาใต้พบโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.5 และ BA.4 เพิ่มมากขึ้น โดยBA.5 พบการกลายพันธุ์ต่างไปสายพันธุ์ดั้งเดิมอู่ฮั่นมากที่สุดประมาณ เกือบ 90 ตำแหน่ง ส่วน BA.4 พบการกลายพันธุ์ต่างไปสายพันธุ์ดั้งเดิมประมาณ 80ตำแหน่ง
ทั้งนี้ ประเด็นสำคัญก็คือทั้ง 2 สายพันธุ์มีความน่ากลัว หรืออันตรายมากน้อยแค่ไหน ล่าสุด ศ.เกียรติคุณ ดร.วสันต์ จันทราทิตย์ หัวหน้าศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุถึงสายพันธุ์โควิด19 โดยอ้างอิงข้อมูลจากฐานข้อมูลโควิดโลก หรือ GISAID ว่า
การกลายพันธุ์มากขึ้นก่อให้เกิดความสุ่มเสี่ยงที่จะหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันและอาจจะแพร่ระบาดไปทั่วโลกได้ในอนาคต แต่อาการจะรุนแรงมากหรือไม่ยังต้องติดตามข้อมูลผู้ติดเชื้อเข้ารักษาในรพ.มีอาการรุนแรงแค่ไหน
แต่ขณะนี้พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ในโปรตุเกสที่เข้ารักษาในรพ.เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญมากกว่า 80% รองลงมาคือแอฟริกาใต้เพิ่มขึ้นประมาณ 50% ตามมาด้วยอังกฤษ ออสเตรีย เนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส เยอรมนี เบลเยี่ยม สเปน อิตาลี เดนมาร์ก ส่วนใหญ่เป็นประเทศแถบยุโรปเกือบทั้งหมดที่เริ่มเห็นสัญญาณผู้ติดเชื้อรายใหม่เข้ารพ.เพิ่มขึ้น
สำหรับสิ่งที่น่ากังวลคือผลการทดลองในสัตว์ทดลองเบื้องต้นบ่งชี้ว่า BA.4 และBA.5 เพิ่มจำนวนได้ดีในเซลล์ปอด อันอาจจะก่อให้เกิดการติดเชื้อปอดอักเสบขึ้นได้ในมนุษย์ ซึ่งต่างไปจากโอมิครอนสายพันธุ์ดั้งเดิม BA.1และ BA.2 ซึ่งเพิ่มจำนวนได้ดีในเซลล์ของเยื่อบุระบบทางเดินหายใจส่วนบน ไม่ลงมาแพร่ติดต่อในระบบทางเดินหายใจส่วนล่างที่ปอด
อย่างไรก็ตาม เป็นการทดลองในสัตว์ทดลอง ยังต้องติดตามข้อมูล แต่ข้อมูลดังกล่าวบ่งชี้ได้ว่าเริ่มกลับระบาดแล้วในยุโรปและแอฟริกาใต้ แต่จะรุนแรงหรือไม่ยังต้องรอประเมินหน้างานจากผู้ป่วยที่เข้ารพ.
ขณะนี้บางประเทศในยุโรปมีการยกระดับการเตือนภัยแล้ว โดยเฉพาะที่โปรตุเกสหน่วยควบคุมโรคของยุโรปได้ยกระดับให้เป็นสายพันธุ์ที่ต้องระมัดระวัง แต่องค์การอนามัยโลก (WHO) ยังไม่ได้ยกระดับให้ BA.4และBA.5 เป็นสายพันธุ์น่ากังวลใจ
ศ.เกียรติคุณ ดร.วสันต์ ยังระบุอีกว่า ประเทศไทยจากฐานข้อมูล GISAID ที่สถาบันการแพทย์ต่างๆ ร่วมถอดรหัสพันธุกรรมและบันทึกข้อมูลเข้าไปพบมีผู้ติดเชื้อโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.5 จำนวน 26 คน BA.4 จำนวน 23 คน และ BA.2.12.1 จำนวน 18 คน โดยพบตั้งแต่เดือนเม.ย.65 จนถึงปัจจุบัน จำนวนดังกล่าวเป็นการสุ่มตรวจ
แต่โดยข้อเท็จจริงมีจำนวนมากกว่าแน่นอน แต่จะมีอาการรุนแรงมากน้อยหรือไม่ อย่างไร จากรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อที่ต้องเข้ามารักษาตัวใน รพ. ยังไม่เพิ่มจำนวนมาก คงต้องเฝ้าติดตามใกล้ชิดกันต่อไป
อย่างไรก็ดี ในรายที่พบคาดว่าน่าจะเป็นชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากที่ศูนย์จีโนมฯ ที่ทำการถอดรหัสในพื้นที่กทม.และปริมณฑลยังไม่พบสายพันธุ์ BA.5 และ BA.4 ข้อมูลในรายที่พบและรายงานใน GISAID น่าจะเป็นการสุ่มตรวจโดยกระทรวงสาธารณสุข
สำหรับฐานข้อมูล GISAID มีรายงานสายพันธุ์ที่พบในประเทศไทยช่วง 60 วันที่ผ่านมามี ดังนี้ BA.2 จำนวน 44 เปอร์เซ็นต์ BA.2.9 จำนวน 26% BA.2.10 จำนวน 7% BA.2.3 จำนวน 5% BA.2.10.1 จำนวน 4% BA.2.27 จำนวน 3%
BA.5 BA.4 และ BA.2.12.1 จำนวน 1% หากเป็นข้อมูลสายพันธุ์ทั่วโลกที่พบโดยเฉลี่ยมีดังนี้ BA.2.12.1 จำนวน 27% BA.5 จำนวน 17% BA.4 จำนวน 8% และ BA.2.3 จำนวน 6%
หากถามว่าไทยมีความเสี่ยงจะเกิดคลื่นระบาดระลอกใหม่หรือไม่ ศ.เกียรติคุณ ดร.วสันต์ ระบุว่า ตอบลำบาก เพียงบอกได้จากข้อมูลที่ WHO เคยบอกไว้ว่า โอมิครอนไม่ใช่สายพันธุ์สุดท้ายที่จะระบาด เป็นข้อเท็จจริงที่จะมีสายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้นจึงยังต้องระมัดระวัง ทำนายไม่ได้แน่ชัดว่าตัวใหม่จะมีอาการรุนแรงหรือลดน้อยถอยลง เนื่องจากเป็นโรคอุบัติใหม่ที่ไม่สามารถฟันธงได้