นายเอกภพ เพียรพิเศษ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เขต 1 จ.เชียงราย โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว โดยระบุว่า ผู้ครอบครองบุหรี่ไฟฟ้าจะถูกจับปรับไม่ได้ จะจับได้ก็ต่อเมื่อมีคำสั่งจากอัยการจังหวัด ซึ่งหมายความว่าต้องพิสูจน์ได้ว่าเป็นผู้ลักลอบนำเข้าและจำหน่าย ตามเอกสารที่มีการสอบหาข้อเท็จจริงของคณะอนุกรรมาธิการการพาณิชย์และทรัพย์สินทางปัญญา สภาผู้แทนราษฎร ในรูปที่แนบให้รายละเอียดไว้ชัดเจน
พร้อมตั้งคำถามถึงการแบนบุหรี่ไฟฟ้าว่า ได้ผลจริงหรือไม่ เพราะยังซื้อขายกันได้เกลื่อนไร้การควบคุม ชี้ให้เห็นว่ากฎหมายปัจจุบันไม่สามารถบังคับใช้ได้จริง
"สรุปว่าการแบนบุหรี่ไฟฟ้าที่เป็นการ “แบนทิพย์” เพราะมีขายกันเกลื่อนแบบไร้การควบคุมการครอบครองบุหรี่ไฟฟ้าก็จะจับกุมรีดไถไม่ได้แล้วนะ หรือจะจับเพื่อทำให้การแบนนั้นมีผลจริงก็ทำไม่ได้ สรุปว่าแบนบุหรี่ไฟฟ้าเพื่ออะไร เพื่อใคร ทำได้จริงหรือ???"
อีกทั้งยังแนบเอกสารจากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) ซึ่งมีเนื้อหาโดยสรุปว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก. ปคบ. ไม่สามารถจับกุมหรือดำเนินคดีกับผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าหรือผู้ครอบครองบุหรี่ไฟฟ้าทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติในข้อกล่าวหาตาม พ.ร.บ. คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติมทั้งในสถานที่ส่วนตัวและสถานที่สาธารณะได้
ทั้งนี้โพสต์ดังกล่าวมีผู้เข้ามาคอมเมนต์กว่า 140 ราย โดยส่วนใหญ่แสดงความขอบคุณที่ให้ข้อมูลที่ชัดเจนกับประชาชน ขณะที่อีกส่วนหนึ่งก็สอบถามเพิ่มเติมว่าหากถูกจับต้องทำอย่างไร
ซึ่งนายเอกภพ ได้เข้าไปตอบคอมเมนต์ว่า กฎหมายศุลกากรไม่มีความผิดเกี่ยวกับการรับของโจร ทำให้ผู้ใช้ที่ครอบครองบุหรี่ไฟฟ้าไม่มีความผิด อัยการจะสั่งได้ก็ต่อเมื่อมีหลักฐานว่าเป็นผู้ลักลอบนำเข้าหรือเป็นผู้ขาย หากยังโดนจับกุม โดนยึด หรือโดนปรับ ให้เก็บหลักฐานมายื่นร้องเรียนที่ตนเองได้
นอกจากนี้ ยังระบุด้วยว่าเอกสารชุดดังกล่าวอยู่ในเล่มรายงานของอนุกรรมาธิการการพาณิชย์และทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างปิดเล่มรายงานและจะนำมาเผยแพร่ต่อไป