โอมิครอน BA.5 ดันไทยตายพุ่ง 27.6% น่ากลัวแค่ไหน ป้องกันยังไง อ่านเลย

29 ก.ค. 2565 | 21:11 น.
อัปเดตล่าสุด :29 ก.ค. 2565 | 21:35 น.

โอมิครอน BA.5 ดันไทยตายพุ่ง 27.6% น่ากลัวแค่ไหน ป้องกันยังไง อ่านเลยที่นี่มีคำตอบ หมอเฉฃลิมชัยเผยขณะนี้ทั่วโลกรวมกำลังประสบปัญหามีผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในทุกภูมิภาค

น.พ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ (หมอเฉลิมชัย) รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา โพสต์ blockdit ส่วนตัว "ร้อยแปดพันเก้ากับหมอเฉลิมชัย" โดยมีข้อความว่า

 

ผู้เสียชีวิตจากโควิดเพิ่มขึ้นอีก 27.6% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ต้องเร่งวัคซีนเข็ม 3 ในกลุ่มเสี่ยง 608 โดยด่วน จึงจะสามารถแก้ไขสถานการณ์ได้

 

ขณะนี้ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย กำลังประสบปัญหา มีผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในทุกภูมิภาค

 

เหตุเกิดจากไวรัส Omicron (โอมิครอน) มีการกลายพันธุ์เป็น BA.5 ที่มีความสามารถในการแพร่ระบาดเร็วกว่าทุกสายพันธุ์ของไวรัสโคโรนาก่อโรคโควิดที่เคยมีมา

 

แต่ด้วยเหตุปัจจัยที่ความสามารถในการก่อโรครุนแรงจนเสียชีวิตไม่ได้เพิ่มขึ้นจากไวรัส Omicron ดั้งเดิม และยังลดลงจากไวรัส Delta ค่อนข้างมาก

 

จึงทำให้ทั้งภาครัฐบาลและประชาชนเกือบทุกประเทศ เกิดการรับรู้ในทำนองว่า ไวรัส Omicron ติดเชื้อมาก แต่เสียชีวิตน้อย

 

และด้วยความจำเป็นทางเศรษฐกิจ ที่ได้รับ

 

ผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเนื่องกันมายาวนาน

จึงเกิดการผ่อนคลายมาตรการทางสาธารณสุข ทั้งจากภาครัฐและประชาชน เช่น การเปิดให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามาโดยไม่ต้องตรวจพีซีอาร์หรือเอทีเค การไม่บังคับให้สวมหน้ากากอนามัยอีกต่อไป เป็นต้น

 

ทำให้เกือบทุกประเทศ (ยกเว้นจีน) ยอมรับที่จะมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น หรือที่ใช้คำพูดว่า “อยู่ร่วมกันกับโควิด”

 

แต่การปรับเปลี่ยนการรายงานสถิติตัวเลข ด้วยเหตุผลทางวิชาการมาประกอบบางส่วน (ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจในการส่งสัญญาณสาธารณะทางจิตวิทยา)

 

ทำให้สาธารณะหลายประเทศรวมทั้งประเทศไทยเข้าใจว่า เรามีผู้ติดโควิดจากไวรัส Omicron ค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับไวรัส Delta

 

โอมิครอน BA.5 ดันไทยตายพุ่ง 27.6%

 

ทั้งที่ความเป็นจริง มีผู้ติดเชื้อจำนวนมากที่ไม่สามารถระบุตัวเลขชัดเจนได้ ที่ไม่ได้มีการรายงานอย่างเป็นทางการ (ประมาณ 5-10 เท่า)

 

อย่างไรก็ตาม ในมิติของจำนวนผู้ติดเชื้อ เนื่องจากส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง โดยเฉพาะในกลุ่มที่ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง (608) จึงพอจะยอมรับได้ในระดับหนึ่ง ที่เราจะอยู่ร่วมกับโควิด เพื่อให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้

 

แต่ในมิติของผู้เสียชีวิต เราไม่ควรยอมรับหรือยอมจำนน ให้มีจำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เราสามารถบริหารจัดการป้องกันได้

 

ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ยอดผู้เสียชีวิตขยับตัวเพิ่มขึ้น 27.6% จากวันละ 29 ราย เป็น 37 ราย

 

นั่นก็คือการเสียชีวิตในกลุ่มเสี่ยง 608 ที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3

เพราะเป็นที่ทราบกันว่า

 

  • ทุกวันนี้ ผู้เสียชีวิตจากโควิดในประเทศไทยเกือบทั้งหมดหรือเกือบ 100% คือกลุ่มเสี่ยง 608
  • ทราบกันชัดเจนว่า ฉีดวัคซีน 3 เข็มจึงจะสามารถลดการติดเชื้อ และการเสียชีวิตหรือความรุนแรงของโรคจากไวรัส Omicron ได้อย่างมีนัยสำคัญ

 

เมื่อมาพิจารณาสถิติตัวเลขการฉีดวัคซีน 3 เข็ม ซึ่งเป็นปัจจัยที่ถือว่าเราสามารถพยายามจัดการได้ แม้จะไม่ง่ายนัก เพื่อให้จำนวนผู้เสียชีวิตลดลง

 

พบว่าขณะนี้มีการฉีดเข็ม 3 เพียง 30.89 ล้านโดส คิดเป็น 44.4% โดยเป้าหมายคือ 60% (ที่จริงควรเป็น 70%) หรือ 42 ล้านโดส ยังขาดที่จะต้องเร่งฉีดอีก 11.11 ล้านโดส

 

แต่ตลอดเดือนกรกฎาคม 2565 ที่ผ่านมา มีผู้เข้ารับการฉีดวัคซีนเพียงวันละประมาณ 60,000 ราย

 

ถ้ายังคงฉีดในอัตราเช่นนี้ กว่าจะฉีดเข็ม 3 ได้ครบเป้าหมายที่กำหนด ก็ต้องใช้เวลาถึง 6 เดือน หรือ 185 วัน

 

ในตลอดระยะเวลา 6 เดือนข้างหน้า ก็จะทำให้มีผู้เสียชีวิต ที่เราสามารถจะป้องกันได้เกิดขึ้น

 

ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก และไม่ควรยอมรับหรือยอมจำนน

 

จึงต้องเร่งทุ่มเท ในการที่จะพยายามทุกวิถีทาง เร่งฉีดวัคซีนเข็ม 3 ให้ได้มากที่สุด เพื่อที่จะช่วยชีวิตกลุ่ม 608 ไม่ให้เสียชีวิตในอัตราที่เพิ่มขึ้น