นายภัทรกร ทีปบุญรัตน์ รองหัวหน้าฝ่ายคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค สภาองค์กรของผู้บริโภค หรือสภาผู้บริโภค กล่าวว่า สภาผู้บริโภคผนึกเครือข่ายภาคประชาชนในกรุงเทพมหานคร ได้ยื่นหนังสือต่อ เลขาธิการคณะกรรมการการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ตั้งแต่วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2568
โดยยื่นข้อเสนอให้ คปภ. สมาคมประกันชีวิตไทย และสมาคมประกันวินาศภัยไทย ชะลอการมีส่วนร่วมจ่ายประกันภัย หรือ Co-payment เนื่องจากเห็นว่าเงื่อนไขดังกล่าวไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาการเรียกร้องค่าสินไหมเกินความจำเป็น และอาจเพิ่มภาระให้กับประชาชนโดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย แต่กลับไม่ได้รับการตอบรับจาก คปภ. ภายในระยะเวลาที่กำหนด
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 19 มีนาคม สภาผู้บริโภคได้รับหนังสือตอบกลับจาก คปภ. โดยชี้แจงว่า การให้มีค่าใช้จ่ายร่วม (Co-payment) จะช่วยควบคุมต้นทุนประกันภัยจากการเรียกร้องผลประโยชน์ที่ไม่จำเป็น พร้อมกับกำหนดให้บริษัทประกันต้องต่ออายุกรมธรรม์ตามเงื่อนไขที่กำหนด และสามารถกำหนดค่าใช้จ่ายร่วมสูงสุดไม่เกิน 30% ของค่ารักษาพยาบาล
“มาตรการดังกล่าวอาจเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพแก่ประชาชน และส่งผลต่อการเข้าถึงบริการทางการแพทย์โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจยังไม่มั่นคง จึงอยากเรียกร้องให้ คปภ. ทบทวนหลักเกณฑ์ดังกล่าวอีกครั้งเพื่อให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน”
ด้านนางสาวมลฤดี โพธิ์อินทร์ รองหัวหน้าฝ่ายนโยบายและนวัตกรรม สภาผู้บริโภค กล่าวว่า การที่โรงพยาบาลเอกชนสามารถตั้งราคาค่ารักษาได้เองโดยไม่มีการกำกับจากรัฐอย่างเหมาะสม เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ผู้บริโภคต้องจ่ายค่ารักษาที่สูงเกินความจำเป็น จึงเรียกร้องให้มีการพิจารณากำหนดมาตรฐานค่ารักษาให้ชัดเจน เพื่อป้องกันการเรียกเก็บค่ารักษาที่ไม่โปร่งใส
ทั้งนี้ สภาผู้บริโภคขอเรียกร้องให้ คปภ. ทบทวนหลักเกณฑ์การร่วมจ่าย Co-payment โดยเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน และให้ความสำคัญกับการคุ้มครองสิทธิด้านสุขภาพของประชาชนเป็นอันดับแรก
ข้อเสนอจากสภาผู้บริโภค:
การเคลื่อนไหวครั้งนี้สะท้อนถึงความกังวลจากภาคประชาชนที่หวั่นว่าจะมีผลกระทบต่อการเข้าถึงสิทธิการรักษาพยาบาลที่ควรเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนทุกคน