แพทย์ใหญ่สหรัฐฯ เตือน! ดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มเสี่ยงมะเร็ง 7 ชนิด แม้วันละแก้ว

สำนักงานศัลยแพทย์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีความสำคัญด้านสาธารณสุขระดับชาติ ออกรายงาน Alcohol and Cancer Risk เตือนประชาชน หลังพบหลักฐานชัดเจนว่าการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นเบียร์ ไวน์ หรือสุรา เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งอย่างน้อย 7 ชนิด พร้อมเสนอให้ติดฉลากคำเตือนบนผลิตภัณฑ์

จากการศึกษาพบว่า แอลกอฮอล์เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งชนิดต่างๆ ได้แก่:

1. มะเร็งเต้านม

2. มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก

3. มะเร็งหลอดอาหาร

4. มะเร็งตับ

5. มะเร็งช่องปาก

6. มะเร็งคอหอย

7. มะเร็งกล่องเสียง

กลไกการเกิดมะเร็งจากแอลกอฮอล์

การศึกษาพบว่าแอลกอฮอล์ก่อให้เกิดมะเร็งผ่าน 4 กลไกสำคัญ ได้แก่ การทำลาย DNA โดยสารอะซีตัลดีไฮด์ที่เกิดจากการย่อยแอลกอฮอล์ การเกิดภาวะออกซิเดชันและการอักเสบ การเพิ่มการดูดซึมสารพิษจากควันบุหรี่ และการเพิ่มการผลิตฮอร์โมน โดยเฉพาะเอสโตรเจนที่เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งเต้านมและรังไข่

จากการศึกษาพบว่า ในกลุ่มผู้ชาย 100 คน โอกาสที่จะเกิดมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์มีดังนี้:

• ผู้ที่ดื่มน้อยกว่า 1 แก้วต่อสัปดาห์: จะเกิดมะเร็งประมาณ 10 คน
• ผู้ที่ดื่มเฉลี่ยวันละ 1 แก้ว: จะเกิดมะเร็งประมาณ 11 คน
• ผู้ที่ดื่มวันละ 2 แก้ว: จะเกิดมะเร็งประมาณ 13 คน

สำหรับผู้หญิง 100 คน โอกาสเกิดมะเร็งเต้านมมีดังนี้:

• ผู้ที่ดื่มน้อยกว่า 1 แก้วต่อสัปดาห์: จะเกิดมะเร็งประมาณ 11 คน
• ผู้ที่ดื่มเฉลี่ยวันละ 1 แก้ว: จะเกิดมะเร็งประมาณ 13 คน
• ผู้ที่ดื่มวันละ 2 แก้ว: จะเกิดมะเร็งประมาณ 15 คน

แม้ว่าแนวทางด้านโภชนาการของสหรัฐฯ จะแนะนำว่าผู้ชายไม่ควรดื่มเกิน 2 แก้วต่อวัน และผู้หญิงไม่ควรดื่มเกิน 1 แก้วต่อวัน แต่รายงานฉบับนี้ชี้ให้เห็นว่าความเสี่ยงต่อมะเร็งบางชนิด โดยเฉพาะมะเร็งเต้านม มะเร็งช่องปาก และมะเร็งคอหอย สามารถเพิ่มขึ้นได้แม้ดื่มเพียงวันละ 1 แก้วหรือน้อยกว่า

โดย 1 แก้วมาตรฐาน เทียบเท่ากับเหล้า 40 ดีกรี 1.5 ออนซ์ หรือไวน์ที่มีแอลกอฮอล์ 12% ปริมาณ 5 ออนซ์ หรือเบียร์ที่มีแอลกอฮอล์ 5% ปริมาณ 12 ออนซ์

ความเชื่อมโยงระหว่างแอลกอฮอล์และมะเร็งได้รับการยืนยันครั้งแรกตั้งแต่ปี 2530 โดยองค์การวิจัยมะเร็งนานาชาติ และหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ นำไปสู่ข้อเสนอของศัลยแพทย์ใหญ่สหรัฐฯ ในการติดฉลากคำเตือนบนผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับทราบข้อมูลความเสี่ยงและตัดสินใจได้อย่างรอบคอบ