การกินของมันแน่นอนว่าย่อมเกิดโทษต่อร่างกาย ด้วยปริมาณไขมันที่จะไปอุดตันเส้นเลือด และก่อให้เกิดโรคอ้วน
อย่างไรก็ดี การกินมันใช่ว่าจะมีแต่โทษเสมอไป แต่จะต้องกินอย่างไรล่ะถึงจะถูกวิธี
ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา (หมอธีระวัฒน์) ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว (ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha)โดยมีข้อความว่า
กินมันๆ กลับกระปรี้กระเปร่า (แบบพอประมาณ)
หมอธีระวัฒน์ ระบุว่า ปี 2017 นี้เป็นปีที่เขย่าขวัญของคนที่กำหนดกฏเกณฑ์ระเบียบวิธีการบริโภค และพยายามที่จะกดลดระดับไขมันเลวหรือที่เรียกว่าLDL จนต่ำเตี้ยจนถึง 50 หรือ 70 ไม่ว่าจะเกิดโรคแล้ว เช่นโรคหัวใจ อัมพฤกษ์ หรือยังไม่เกิดโรคก็ตาม
ทั้งนี้ถึงขนาดต้องใช้ยาลดไขมันสแตตินระดับสูงและจนถึงต้องใช้ยาลดไขมันอีกกลุ่มหนึ่งช่วย ทั้งๆที่ ในขณะนี้เราเริ่มทราบว่าไขมันเลว ไม่ได้เลวมากอย่างที่คิด
แต่เกิดเนื่องจากมีภาวะอักเสบในร่างกายและส่งผลไปยังเส้นเลือด
สำหรับเรื่องอาหารการกินมีผลของการศึกษาซึ่งเป็นความร่วมมือกันของกลุ่มต่างๆถึง 18 ประเทศจากห้าทวีป เป็นเวลาถึงเจ็ดปี
โดยได้ทำการติดตามลักษณะการใช้ชีวิต อาหารการกิน และปัจจัยต่างๆที่ส่งผลหรือเอื้ออำนวยให้มีความเสี่ยงของการเกิดโรคต่างๆทั้งโรคหัวใจและโรคเส้นเลือดทั้งหลาย โครงการนี้เรียกชื่อว่า PURE (Prospective Urban Rural Epidemiology) ในส่วนของชนิดและประเภทของอาหารที่ได้ทำการติดตามศึกษาคนเป็นจำนวนถึง 135,000 คนและให้ผลเป็นที่น่าตื่นเต้นยินดี สำหรับคนที่ชอบกินมันๆ ว่า
หมอธีระวัฒน์ ระบุอีกว่า กฎง่ายๆก็คือไม่ถึงกับผอมแห้งแต่ก็ไม่ปล่อยตัวให้อ้วนนัก
ที่สำคัญก็คือห้ามสูบบุหรี่เด็ดขาด และออกกำลัง สำหรับอาหารอื่นๆให้อยู่ในรูปของความสมดุลย์
โดยปลามากหน่อย เนื้อบ้าง ดูๆไปแล้วการศึกษาใหม่เอี่ยมนี้ดูจะเหมือนกับที่พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ทวดประพฤติปฏิบัติกันมาเป็นประจำและได้ถูกดัดแปลงบิดออกไปจากเดิมอย่างที่เราตัองถูกให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของฝรั่ง
ผลของการศึกษาตีพิมพ์ในวารสารแลนเซ็ท สองรายงานโดยรายงานแรกเป็นเรื่องของอาหารการกินว่าจะเป็นไขมันหรือแป้งและอีกรายงานเป็นเรื่องของพืชผักผลไม้กากใยกับสุขภาพ อีกรายงานในวารสารแลนเซ็ทเบาหวานและต่อมไร้ท่อ โดยเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับรูปแบบของอาหารที่มีต่อความดันและระดับของไขมันต่างๆ
ผลของการติดตามพบว่า 5796 รายตายและ 4784 รายมีโรคที่เกิดจากเส้นเลือดตีบ รูปแบบของอาหารการกินขัดแย้งกับคำแนะนำของสมาคมโรคหัวใจของอเมริกาอย่างหน้ามือเป็นหลังมือซึ่งได้ออกคำประกาศิตใหม่สดในปีนี้ว่าไขมันอิ่มตัวคือศัตรูเบอร์หนึ่งและให้เน้นไขมันไม่อิ่มตัวหรือแป้งแทน
การศึกษาของ PURE พบว่าปริมาณสูงสุดที่ให้กินได้ของไขมันอิ่มตัวอยู่ที่เฉลี่ย 10 ถึง 13% ของพลังงานที่ได้จากการกินทั้งหมดโดยที่จะพบว่ามีอัตราตายลดลง อย่างมีนัยยะสำคัญทางสถิติที่เมื่อเปรียบเทียบกับการกินไขมันอิ่มตัวน้อยๆ และการที่จำกัดไขมันอิ่มตัวกลับมีอันตราย โดยที่สมาคมโรคหัวใจของอเมริกากำหนดให้ปริมาณของไขมันรวมทั้งหมดต่ำกว่า 30% ของพลังงานที่ได้ในแต่ละวันและปริมาณของไขมันอิ่มตัวต่ำกว่า 10% ของพลังงานรวม
จากการวิเคราะห์ทางสถิติพบว่าการกินแป้งเป็นหลักมีความสัมพันธ์กับการตาย ในขณะที่การกินไขมันไม่ว่าจะเป็นไขมันอิ่มตัวหรือไขมันไม่อิ่มตัวแบบmono และ polyunsaturated fat กลับได้ประโยชน์ ทั้งนี้ผลที่ได้จากการวิเคราะห์ไม่มีความต่างกันในคนในแถบเอเชียและที่ไม่ใช่เอเชียและยังรวมถึงประเทศตะวันตกเช่นแคนาดาสวีเดนและโปแลนด์
หมอธีระวัฒน์ ระบุต่อไปอีกว่า ผลของการศึกษาที่ได้มีได้คัดง้างกับการกินอาหารเมดิเตอร์เรเนียนซึ่งมีไขมันไม่อิ่มตัวเช่นน้ำมันมะกอกเป็นหลักรวมทั้งผักผลไม้ ถั่ว และไม่ได้หนักแป้ง
ซึ่งในการศึกษานี้ ถ้าปรับเปลี่ยน 5% ของพลังงานที่ได้จากแป้งด้วยไขมันไม่อิ่มตัว และ แม้แต่ด้วยไขมันอิ่มตัวและโปรตีนก็ตามจะพบว่าจะสามารถลดอัตราตายลงได้ถึง 11%
เมื่อดูลึกเข้าไปถึงปริมาณและชนิดของไขมันกับผลที่ได้จากการวิเคราะห์ในเลือดจะพบว่าการกินไขมันแม้ว่าจะมีระดับของคอเรสเตอรอลรวมและระดับของไขมันเลวสูงขึ้น แต่ก็มีระดับของไขมันดีและ apoA1สูงขึ้นเช่นกัน โดยที่มีระดับไขมันไตรกรีเซอไรด์ลดลง เช่นเดียวกับอัตราส่วนระหว่างคอเรสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์กับไขมันดี และอัตราส่วนระหว่าง apoB และ apoA1
การกินแป้งเยอะถึงแม้จะมีระดับคอเรสเตอรอลและไขมันเลวน้อยลง แต่ก็ดึงระดับของไขมันดีต่ำลงไปด้วยและมีระดับไตรกลีเซอไรด์สูงขึ้น
และอัตราส่วนที่ได้จากการเปรียบเทียบชนิดของไขมันในเลือดจะได้ผลตรงข้ามกับที่กินไขมันเยอะ
อย่างไรก็ตามการกินไขมันด้วยปริมาณดังที่กล่าวมีส่วนสัมพันธ์กับความดันที่สูงขึ้นแต่ถ้าปรับเปลี่ยนให้มีโปรตีนเพิ่มขึ้นจะทำให้ความดันลดลง
สำหรับข้อสงสัยระหว่างการกินไขมันอิ่มตัวและไม่อิ่มตัวพบว่าถ้าใช้ไขมันไม่อิ่มตัวแทนแม้ว่าจะทำให้ระดับไขมันเลวและความดันลดลงบ้างแต่กลับทำให้ระดับไขมันดีต่ำลงและไตรกลีเซอไรด์สูงขึ้น
การดู ค่าดัชนีโดยรวม อาจบ่งชี้ว่า การใช้อัตราส่วนระหว่าง apoB กับ apoA1 อาจจะเป็นตัวสะท้อนผลที่ได้ประโยชน์ของการกินกรดไขมันอิ่มตัวกับความเสี่ยงที่จะเกิดโรคหัวใจและโรคของเส้นเลือดต่างๆ
และการดูจากค่าระดับของไขมันเลวอย่างเดียวไม่น่าจะเป็นตัวที่สะท้อนความเสี่ยงต่อโรคหัวใจกับการกินอาหารชนิดต่างๆ