ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา (หมอธีระวัฒน์) ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่คณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยโพสเฟซบุก๊ส่วนตัว (ธีระวัฒน์เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha)โดยมีข้อความระบุถึงเวลาในการดื่มกาแฟ ว่า ตื่นปุ๊บ ดื่มกาแฟปั๊บ หรือจะรอหลังอาหารเช้า
หมอธีระวัฒน์ บอกว่า แทบจะเป็นมาตรฐาน ระเบียบวิธีปฏิบัติ การดำเนินชีวิตของแทบทุกคนที่ เมื่อตื่นขึ้นมาก็ต้องเรียกร้องหากาแฟ เพื่อปลุกให้กระชุ่มกระชวย ทั้งนี้เห็นได้ชัด โดยเฉพาะในคนทำงาน หมอพยาบาลและเจ้าหน้าที่สาธารณะสุขทั้งหลาย และคนที่ต้องทำงานเป็นกะ ไม่เป็นเวลาประจำ
ทั้งนี้ คุณภาพของการนอนเป็นเรื่องสำคัญมาก และถ้านอนไม่ดีเรื้อรังเป็นเวลานานจะส่งผลไป จนกระทั่งถึงการที่ทำให้ร่างกายมีภาวะดื้ออินซูลิน มีโรคอ้วน เบาหวาน ตามมา และยังได้รับการพิสูจน์ชัดเจนแล้วว่าทำให้มีโปรตีนไม่ดี ชนิดบิดเกลียว (misfolded protein) สะสมในเนื้อสมอง และสุ่มเสี่ยงทำให้เกิดมีโรคสมองเสื่อมชนิดต่าง ๆ ได้ทั้งหมด
การหลับไม่ดีที่ส่งผลร้ายเหล่านี้เกิดขึ้นได้ แม้ขาดการนอนที่ดีไปเพียงหนึ่งคืน ซึ่งรวมถึงการไม่ได้นอนเลย และทำงานทั้งวัน ทั้งคืนยืดยาวไปถึง 36 จน 72 ชั่วโมงก็มี อย่างที่เห็นในหมอ พยาบาลที่ต้องอยู่เวร และกลางวันต้องทำงานต่อ และมีโปรตีน เอมิลอยด์ ที่เป็นตัวการหนึ่งของ โรคอัลไซเมอร์เพิ่มขึ้น และการนอนไม่ดี ทำให้ท่อระบายขยะ ของเสียจากสมอง (glymphatic system) ที่นำไปทิ้งยังเส้นเลือดดำ ทำงานได้ไม่ดี ทั้งนี้ในสัตว์ทดลองพิสูจน์แล้วว่าการนอนที่ดีนั้นทำให้ท่อระบายขยะมีขนาดกว้างขึ้นได้ถึง 60%
การนอนไม่ดีเช่นนี้ยังรวมถึงการที่นอนกระตุกเป็นช่วง ๆ (sleep fragmentation) หรือมีการนอนสลับกับตื่นขึ้นมาทำงานเป็นระยะเช่นนอนห้าทุ่มตื่นตีหนึ่งแล้วทำงานไปเรื่อย ๆ และกลับมานอนอีกตอนตีห้าถึง 7 โมงครึ่ง คุณภาพการนอนที่ไม่ดีเช่นนี้ส่งผลถึงประสิทธิภาพในการทำงานในวันเวลาต่อมาและสะสมกลายเป็นพิษร้ายต่อร่างกายในหลายระบบ ที่ไม่ใช่ในสมองอย่างเดียว
ส่วนที่ต้องใช้กาแฟช่วยในกลุ่มคนทำงานในลักษณะนี้ก็เพื่อทำให้ยืนหยัดอยู่ได้และกระตุ้นไม่ให้อ่อนเพลีย ทั้งนี้ในตัวกาแฟเองเป็นที่พิสูจน์แล้วว่าช่วยสุขภาพและลดความสุ่มเสี่ยง ต่อการเกิดโรคหัวใจและเส้นเลือดจนกระทั่งถึงมะเร็ง
อย่างไรก็ตาม ในขนาดบริโภค 62 มิลลิกรัมของคาเฟอีนต่อ100 ซีซี โดยดื่มถ้วยเดียว หรือ ขนาด 100 ถึง 400 มิลิกรัม ดื่มถ้วยเดียว จะมีผลทำให้กระบวนการจัดการน้ำตาลในเลือด หลังที่กินอาหารไปแล้วเกิดความแปรปรวนขึ้นมา และเป็นที่กริ่งเกรงกันว่าการดื่มกาแฟหลังจากที่ไม่ได้นอนมาระยะหนึ่งหรือการนอนโดนที่ถูกกระตุกเป็นช่วง ๆ
การดื่มกาแฟดังกล่าวแทนที่จะได้ผลดีต่อสุขภาพอาจจะเกิดผลเสียสะสมขึ้นไปอีก การศึกษาในระดับลึกอาจเป็นไปได้ว่า ภาวะผิดปกติของการจัดการระดับสมดุลของน้ำตาลและอินซูลินถูกควบคุมด้วยรหัสพันธุกรรมที่อยู่ในยีน CYP1A2 ซึ่งเป็นตัวควบคุมการขับถ่ายสลายของคาเฟอีนในตับ
การศึกษาผลของคาเฟอีนกับการจัดการน้ำตาลในเลือด ในระยะแรกๆที่ผ่านมา เป็นการให้กินกาแฟ ที่มีคาเฟอีน 65 มิลลิกรัม ก่อนหน้า ที่จะนอน และกำหนดให้การนอนเป็นไปอย่างกระท่อนกระแท่น ไม่มีคุณภาพและศึกษาในเช้าวันรุ่งขึ้น ซึ่งผลปรากฏว่าระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดและระดับของอินซูลิน พุ่งสูงขึ้นกว่าธรรมดา (การตรวจใช้ oral glucose tolerance test คือให้กินน้ำตาลและวัดระดับน้ำตาลและอินซูลินในเลือดเป็นระยะ)
หมอธีระวัฒน์ บอกอีกว่า การศึกษาใหม่ที่สรุปในบทความนี้ตีพิมพ์ในวารสารโภชนาการของอังกฤษ (British journal of nutrition) เมื่อกลางปี 2563นี้ และทำการศึกษาในบุรุษและสตรีที่สุขภาพดี 29 คน โดยการศึกษาแบ่งออกเป็นสามสภาวะ
โดยในแต่ละแบบมีการเจาะเลือดหลังจากที่ดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลไปแล้วซึ่งมีปริมาณแคลอรี่เทียบเคียงกับอาหารเช้าตามปกติ
ผลการศึกษาปรากฏว่า การนอนแบบกระท่อนกระแท่นแบบถูกทารุณกรรมนั้น ไม่มีผลกระทบต่อกระบวนการจัดการระดับน้ำตาลและอินซูลินในเลือด โดยผลที่ได้นั้นเหมือนกับการนอนอย่างมีความสุข
ในทางกลับกัน การดื่มกาแฟดำเข้มข้นก่อนอาหารเช้ากลับพบว่าทำให้ระบบการจัดการน้ำตาลและอินซูลินรวนเรและมีระดับเพิ่มขึ้นประมาณ 50%
คณะผู้ศึกษาได้ทำการวิเคราะห์และสรุปให้ความเห็นว่าผลที่ได้นี้ไม่ได้คัดค้าน ว่ากาแฟไม่มีประโยชน์และผลต่อสุขภาพยังคงเป็นไปอย่างที่ได้รับทราบกันทั่วไป
เพียงแต่ว่าถ้าจะทำให้ได้ประโยชน์อย่างสูงสุดในการดื่มกาแฟตอนเช้า หลังจากที่ในคืนก่อนหน้านั้นมีการนอนอย่างทุลักทุเล ควรจะต้องดื่มหลังจากที่ทานอาหารเช้าไปแล้ว
ทั้งนี้เพื่อป้องกันผลที่จะเกิดขึ้นต่อภาวะดื้ออินซูลินและทำให้ระดับอินซูลินสูงเกินไปจากที่ควรจะเป็นและระดับน้ำตาลไม่สมดุล
หมอธีระวัฒน์ กล่าวสรุปว่า เราก็ยังคงดื่มกาแฟดำ โดยถ้าจะใส่ครีมหรือน้ำตาลนิดหน่อยบ้าง ก็ยังคงทำได้ และยังคงดื่มอย่างมีความสุข หลังกินอาหารเช้า และแน่นอนในกลุ่มหมอและพยาบาลอย่างเรา ที่ยังคงเป็นยอดมนุษย์อยู่ได้ ( ทั้ง ๆ ที่ไม่อยากเป็น ) ก็คุ้ม เพราะมีกาแฟช่วยเป็นหลักอยู่ด้วย
แต่หวังว่าในอนาคต ระบบการทำงาน (worktime directive) คงจะเอื้ออำนวยให้เหมือนมนุษย์มนาทั่วไป ทั้งนี้ไม่ใช่เพื่อสุขภาพของคนทำงานเท่านั้น แต่ยังหมายถึงคุณภาพของการทำงาน ความแม่นยำของกระบวนการตัดสินใจ การวินิจฉัยและการรักษาเพื่อความปลอดภัยของคนป่วยด้วย