เตือน!ไข้หวัดใหญ่อันตรายถึงตายได้ เหตุเป็นเชื้อนำร่องก่อโรครุนแรง

21 ส.ค. 2566 | 06:00 น.
อัปเดตล่าสุด :21 ส.ค. 2566 | 06:00 น.

เตือน!ไข้หวัดใหญ่อันตรายถึงตายได้ เหตุเป็นเชื้อนำร่องก่อโรครุนแรง ประธานมูลนิธิส่งเสริมการศึกษาไข้หวัดใหญ่ระบุปีนี้ เมื่อเข้าสู่ฤดูฝนจะเริ่มเห็นการระบาดของไข้หวัดใหญ่เพิ่มขึ้นกว่า 3 ปีที่ผ่านมา

สถานการณ์ไข้หวัดใหญ่ในประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงของการแพร่ระบาด หลังจากที่เข้าสูฤดูกาล ซึ่งเอื้อต่อการแพร่เชื้อเป็นอย่างมาก

รศ. (พิเศษ) นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ ประธานมูลนิธิส่งเสริมการศึกษาไข้หวัดใหญ่ เปิดเผยว่า ปี 2566 นี้ พอเข้าสู่ฤดูฝน จะเริ่มเห็นการระบาดของไข้หวัดใหญ่เพิ่มขึ้นกว่า 3 ปีที่ผ่านมาซึ่งอยู่ในช่วงโควิด-19 ครองโลก ทำให้ผู้คนเก็บตัวในบ้าน ระมัดระวังด้านสุขอนามัย โอกาสแพร่เชื้อไข้หวัดใหญ่ก็น้อยลง บวกกับในช่วงนั้นประชาชนห่างหายจากการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ทำให้ร่างกายไม่มีภูมิคุ้มกัน 

อย่างไรก็ดี ไวรัสไข้หวัดใหญ่ยังหมุนเวียนอยู่อย่างเบาบาง พอสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 เริ่มกลับสู่สภาวะปกติ ทำให้พบผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่มากขึ้นอย่างชัดเจน โดยอัตราคนที่เป็นไข้หวัดแล้วมาโรงพยาบาล ตรวจพบว่าป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ ประมาณ 15% (ณ ต้นเดือนสิงหาคม 2566) ของคนที่เป็นไข้หวัดใหญ่

ทั้งนี้ ประเทศไทยตั้งอยู่ในละติจูดตรงกลางระหว่างซีกโลกเหนือและซีกโลกใต้ ทำให้มีการระบาดของไข้หวัดใหญ่ตลอดทั้งปี โดยช่วงที่มีการระบาดหนักจะอยู่ในฤดูฝน ตั้งแต่เดือนมิถุนายน - ตุลาคม และจะระบาดอีกครั้งในช่วงอากาศเย็น เดือนธันวาคม - กุมภาพันธ์ แต่เป็นช่วงที่มีการระบาดน้อยกว่า จากสถิติช่วงระบาดหนัก ตรวจพบผู้ป่วยที่มาโรงพยาบาลด้วยไข้หวัดจะเป็นไข้หวัดใหญ่ 20-30% หรือบางปีตรวจพบสูงถึง 40% ของผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัดแล้วมาโรงพยาบาล

สำหรับโรคไข้หวัดใหญ่นั้น ส่วนมากมักจะก่อโรคในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ เด็ก 100 คนในปีหนึ่งๆ จะติดเชื้อและมีอาการเจ็บป่วยจากโรคไข้หวัดใหญ่ 20-25% แต่ถ้าผู้ใหญ่ จะพบเป็นไข้หวัดใหญ่ ประมาณ 10% โดยปัจจัยที่สำคัญของการระบาดของไข้หวัดใหญ่ นอกจากฤดูฝนที่ทำให้เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่มีชีวิตอยู่นาน 

ปัจจัยอีกประการ คือ โรงเรียนเปิด เด็กนักเรียนจะติดต่อส่งเชื้อให้กัน ทำให้เด็กอาจพาเชื้อไปสู่คนในครอบครัว โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ ปู่ย่าตายายที่อยู่ในบ้าน ซึ่งกลุ่มผู้สูงอายุหากติดเชื้อแล้ว มีโอกาสที่โรคจะรุนแรง ถึงขั้นต้องนอนโรงพยาบาลหรือหากรุนแรงมากอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัวต่างๆ

อย่างไรก็ตาม จากสถิติระบุว่า ผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่อาการรุนแรงที่นอน ICU พบจำนวนที่เสียชีวิต อยู่ที่ 10% ของผู้ป่วยที่นอน ICU

รศ. (พิเศษ) นพ.ทวี กล่าวอีกว่า ไข้หวัดใหญ่เป็นตัวนำร่องเป็นเชื้อโรคที่ก่อโรคทางเดินหายใจ ก่อโรครุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้บ้างแต่ไม่มาก แต่ที่มาซ้ำเติม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเชื้อแบคทีเรียที่เกาะในลำคอจะมีอันตรายมากกว่า ทำให้โรครุนแรงมากขึ้น โดยเวลาที่เป็นไข้หวัดใหญ่ทำให้เส้นทางเดินหายใจที่ลงไปที่ปอดมีการติดเชื้อ มีการอักเสบ เปรียบเทียบอย่างง่ายเหมือนทางเดินขรุขระ ทำให้เชื้อแบคทีเรียที่เกาะอยู่ที่คอ 

แต่พอทางเดินขรุขระเชื้อแบคทีเรียก็จะไต่ลงไปที่ปอด เกิดภาวะปอดอักเสบ ทำให้ถึงขั้นเสียชีวิตได้ หรืออาจจะกระจายเข้าสู่เลือดเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียในกระแสโลหิต ทำให้เกิดเป็นลิ่มเลือดเล็กๆ น้อยๆ อยู่ตามที่ต่างๆ ทำให้โรคหัวใจรุนแรงขึ้น จากปกติที่เป็นโรคหัวใจที่ไม่รุนแรง หรือหากไปอุดตันตามเส้นเลือดของสมอง ก็ทำให้เป็นโรคหลอดเลือดสมอง (stroke) หรือเป็นอัมพาต อัมพฤกษ์ได้ เพราะฉะนั้น 

"ไข้หวัดใหญ่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของโรคซึ่งรุนแรง และอาจมีโรคแทรกซ้อนทำให้รุนแรงขึ้นหลายชนิด โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่เป็นโรคประจำตัว พอเป็นไข้หวัดใหญ่ก็ยิ่งเป็นตัวเสริมทำให้คนที่เป็นโรคหัวใจอาจจะมีอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบเฉียบพลัน มีภาวะหัวใจวาย หรือคนชรามากพอเป็นไข้หวัดใหญ่ก็ทำให้เลือดไปเลี้ยงช้า ทำให้มีภาวะหลอดเลือดอุดตันได้ จึงเป็นที่มาของอันตรายจากโรคของหลอดเลือดที่ไปหัวใจและสมองได้"

กลุ่มผู้สูงอายุ มีลักษณะอาจเรียกว่ากลุ่มเสี่ยงตายเพราะมีโอกาสเสียชีวิตสูงกว่ากลุ่มอายุอื่นๆ เพราะหากป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่แล้ว โรคแทรกซ้อนที่อาจจะตามมาและทำให้เกิดความรุนแรงสูงเป็นอันดับหนึ่ง คือ ปอดอักเสบตามมาด้วย โรคหัวใจวาย โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน และโรคหลอดเลือดสมอง (stroke) ประชาชนจึงควรป้องกันไม่ให้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ ซึ่งการป้องกันตามธรรมชาติอาจจะป้องกันได้บ้างแต่ยาก เนื่องจากไข้หวัดใหญ่เป็นโรคติดเชื้อที่สามารถแพร่เชื้อได้ก่อนที่จะแสดงอาการ 

วิธีป้องกันที่ดีที่สุดและคุ้มค่าทางการแพทย์ โดยมีการศึกษามาอย่างยาวนาน ก็คือ วัคซีนทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันสามารถจัดการกับโรคได้ตลอดระยะเวลา ซึ่งวัคซีนไข้หวัดใหญ่มีการพัฒนามาตลอดกว่า 80 ปี จึงมีความมั่นใจในประสิทธิภาพและความปลอดภัย ปัจจุบันมีวัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิด 4 สายพันธุ์แล้ว

ปัจจุบัน ประเทศไทยมีวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 2 ประเภท ได้แก่

1. วัคซีนไข้หวัดใหญ่ขนาดมาตรฐาน (Standard Dose) ซึ่งจะมีทั้งชนิด 3 สายพันธุ์ และชนิด 4 สายพันธุ์ สามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้นไป จนถึงผู้สูงอายุ (ขนาด 15 ไมโครกรัมต่อ 1 สายพันธุ์ต่อโดส)

2. วัคซีนไข้หวัดใหญ่ขนาดสูง (High Dose) สำหรับผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป* สามารถฉีดได้ทั้งในกลุ่มผู้สูงอายุที่มีร่างกายปกติ และผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัว ซึ่งมีเฉพาะชนิด 4 สายพันธุ์เท่านั้น (ขนาด 60 ไมโครกรัมต่อ 1 สายพันธุ์ต่อโดส)

การมีวัคซีนไข้หวัดใหญ่ขนาดสูง สำหรับผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีร่างกายอ่อนแอ ทำให้การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันต่อวัคซีนต่ำ จากการศึกษาพบว่าผู้สูงอายุเกิน 65 ปี ฉีดวัคซีนขนาดมาตรฐาน ผลการศึกษาปรากฎว่า ผู้สูงอายุบางรายสร้างภูมิคุ้มกันไม่ค่อยดี ไม่เหมือนกับช่วงอายุอื่นๆ จึงมีการศึกษาพัฒนาโดยการเพิ่มขนาดของตัวยาในแต่ละสายพันธุ์ เป็น 60 ไมโครกรัมต่อ 1 สายพันธุ์ ผลการวิจัยพบว่าสามารถลดการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ชนิดที่มีอาการได้สูงกว่าชนิดที่เป็นมาตรฐาน (15 ไมโครกรัมต่อ 1 สายพันธุ์) 24% 

และยังสามารถลดการนอนโรงพยาบาลจากไข้หวัดใหญ่และปอดอักเสบได้สูงกว่าขนาดมาตรฐาน 64.4% และลดการเสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่ได้สูงกว่าขนาดมาตรฐาน 48.9% แต่อาจพบผลข้างเคียงเพิ่มขึ้นเล็กน้อย อาจมีอาการปวดบริเวณที่ฉีดมากกว่าขนาดมาตรฐาน แต่อย่างไรก็ตามมีความมั่นใจและปลอดภัยสูง เนื่องจากวัคซีนขนาดสูงได้ใช้อยู่ในประเทศยุโรป อเมริกา มานานมากกว่า 10 ปี และใช้มากกว่า 200 ล้านโดสแล้ว