นายแพทย์ณชารินทร์ พิภพทรรศนีย์ จิตแพทย์ โรงพยาบาล BMHH – Bangkok Mental Health Hospital กล่าวว่า โรคเครียด หรือ ภาวะการปรับตัวผิดปกติ (Adjustment Disorder) คือกลุ่มโรคทางจิตเวช มักเกิดขึ้นหลังจากที่เผชิญกับสถานการณ์หรือสิ่งที่เข้ามากดดัน คุกคามต่อร่างกายและจิตใจ ทำให้เกิดความเครียดสะสมหรือเครียดจัดและไม่สามารถปรับตัวได้อย่างเหมาะสม จนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การทำงาน การเรียน ความสัมพันธ์ หรือการเข้าสังคม ซึ่งเมื่อร่างกายเกิดความเครียดจะหลั่งฮอร์โมนความเครียด 2 ชนิดที่เรียกว่า "คอร์ติซอลและอะดรีนาลีน" เป็นฮอร์โมนที่มีในทุกคนมากน้อยแตกต่างกันไป โดยแต่ละคนจะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อความเครียดแตกต่างกัน
ความเครียดอาจเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้
อาการของภาวะการปรับตัวผิดปกติ สามารถแสดงออกมาได้หลายรูปแบบ ดังนี้
ซึ่งผู้ป่วยมักมีอาการดังกล่าวเกิดขึ้นภายใน 3 เดือนหลังเจอกับสถานการณ์ที่ตึงเครียดและอาการจะหายไปภายใน 6 เดือนหลังสิ้นสุดสถานการณ์ แต่หากอาการเป็นนานกว่า 6 เดือน จะส่งผลให้เกิดภาวะการปรับตัวผิดปกติเรื้อรัง อาจทำให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพจิตที่รุนแรง เช่น โรควิตกกังวล ซึมเศร้า และถ้าหากมีความคิดทำร้ายตนเองหรือผู้อื่น ควรรีบไปพบจิตแพทย์เพื่อรับคำปรึกษาและหาวิธีในการจัดการความเครียดที่เกิดขึ้นอย่างเร่งด่วน
การรักษาภาวะปรับตัวผิดปกติขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค มีทั้งการรักษาด้วยยา เช่น ยาต้านเศร้า ยาระงับอาการวิตกกังวล ยานอนหลับ โดยแพทย์จะพิจารณาให้ยาตามความเหมาะสมของอาการ นอกจากนี้ การรักษาอีกส่วนที่สำคัญ คือ การทำจิตบำบัด (Psychotherapy) เป็นวิธีการรักษาด้วยการพูดคุย มีทั้งการพูดคุยแบบบุคคล กลุ่ม หรือครอบครัว เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยทำความเข้าใจกับสาเหตุของความเครียดและผลกระทบที่เกิดขึ้น
นายแพทย์ณชารินทร์ กล่าวว่า วิธีการจัดการความเครียดว่า สามารถเริ่มจากการปรับความคิด ลดการยึดติด มีเหตุผล ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นว่าอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ไม่โทษตัวเองหรือโทษคนอื่น มองหาแนวทางแก้ไข, ฝึกมองแง่บวก การมองปัญหาหรือสิ่งที่เกิดขึ้นในแง่บวกจะช่วยให้ให้เกิดกำลังใจแต่อาจต้องใช้เวลา, เรียนรู้การให้อภัย ยอมรับความจริงว่าไม่มีใครในโลกนี้สมบูรณ์แบบ ทุกคนเองก็เคยทำผิดพลาดทั้งนั้น
สำหรับการให้อภัยจะช่วยให้ผู้นั้นก้าวข้ามความโกรธ สามารถผ่อนคลายได้ และสามารถมีความสุขกับการทำงานได้ง่ายขึ้น, ดูแลรักษาสุขภาพ เช่น ออกกำลังกายสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงสิ่งเสพติด นอนหลับให้เพียงพอ รับประทานอาหารมีประโยชน์, จัดเวลาส่วนตัว และฝึกทำอะไรให้ช้าลง คนที่มีสมาธิและสติที่ดีจะมีโอกาสรู้เท่าทันอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง ทำให้การควบคุมอารมณ์ทำได้ดีขึ้น ซึ่งจะเป็นการลดความเครียด และลดโอกาสในการพาตัวเองไปสู่สถานการณ์ที่ก่อให้เกิดความเครียดได้อีกด้วย