นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และนายกสมาคมการค้าอาหารอนาคตไทย เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้ผลิตอาหารระดับโลก และเป็นผู้ส่งออกอาหารอันดับที่ 12 ของโลก มีสัดส่วนการผลิตที่ใช้บริโภคในประเทศ 70% และส่งออก 30% แต่อาหารที่ส่งออกมีความแตกต่างและ หลากหลายมากกว่าผู้ส่งออกรายใหญ่ ซึ่งในตลาดโลกเป็นตลาดใหญ่ มีมูลค่าและกำลังซื้อสูง เต็มไปด้วยการแข่งขัน ฉะนั้นผู้ประกอบการต้องศึกษาแนวโน้มและพฤติกรรมการบริโภคให้ดี เพื่อนำเสนอสินค้าให้ตรงกับความต้องการ และนับตั้งแต่ผ่านช่วงการเกิดโรคระบาดโควิด-19 ที่ผู้คนเริ่มหันมาให้ความสนใจกับอาหารการกินมากขึ้น
โดย 7 เมกะเทรนด์อุตสาหกรรมการผลิตอาหารของโลก ได้แก่
สำหรับผู้ผลิตอาหารในประเทศไทยในปัจจุบันพบว่า มีความสามารถผลิตอาหารได้หลากหลาย โดยเฉพาะใน4 กลุ่ม ได้แก่ 1. อาหารฟังก์ชัน (Functional Foods) เป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนการเติบโตดีที่สุด คือ 90% เพราะผู้บริโภคสามารถรับรู้และเข้าใจได้ง่ายระดับราคาไม่สูงมากจนเกินไป ไม่ว่าจะเป็นอาหารเสริมสร้างกล้ามเนื้อหรือมวลกระดูก อาหารที่มีโพรไบโอติก ดีต่อระบบทางเดินอาหาร เช่น โยเกิร์ต เป็นต้น
2. อาหารในกลุ่มโปรตีนทางเลือกที่ไม่ได้มาจากเนื้อสัตว์ (Alternative Protein) มีสัดส่วนประมาณ 5% เป็นกลุ่มที่ผู้ผลิตพยายามผลักดันให้เป็นจุดเด่นของประเทศไทย เพื่อนำมาทดแทนการใช้เนื้อสัตว์ เพราะสภาพแวดล้อมในอนาคตการผลิตเนื้อสัตว์จะลดลง ด้วยภาวะของโรคระบาดที่กลายพันธุ์ตลอดเวลา ภาวะโลกร้อนซึ่งส่งผลกระทบต่อพืชที่นำมาผลิตเป็นอาหารสัตว์
นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่ทำให้คนรักสุขภาพเกิดความกังวลเกี่ยวกับการรับประทานเนื้อสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นการได้โปรตีนที่ผสมกับไขมันที่ไม่มากเกินไป การกินเนื้อสัตว์ต่อเนื่องจะทำให้เกิดเป็นมะเร็ง ฉะนั้นคนจึงหันมาสนใจอาหารที่ทำมาจากพืช (Plant based food) หรือ แมลง (Insect-based) เพิ่มมากขึ้น แต่ต้องโปรโมทให้ดี เพราะผู้บริโภคบางคนยังกลัวแมลงอยู่
3. อาหารออร์แกนิก (Oranic Food) สำหรับประเทศไทยกลุ่มนี้เติบโตค่อนข้างช้าและมีสัดส่วนน้อยที่สุด เพราะกระบวนการต่างๆ กว่าจะได้มาซึ่งอาหารออร์แกนิกต้องใช้เวลาพอสมควร และ 4. อาหารทางการแพทย์ (Medical Food)และอาหารเฉพาะบุคคล (Personalized Food) เป็นเทรนด์ที่มาแรง เพราะจะเกี่ยวกับการใช้อาหารเป็นยา อาหารสำหรับผู้ป่วย สำหรับคนที่ไม่ป่วยแต่เฝ้าระวังไม่ให้ป่วย ผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือกลุ่มโรค NCDs (non-communicable diseases) รวมทั้งอาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ความดัน ผู้สูงวัย และทารก
“อาหารสุขภาพในประเทศไทย มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยเท่ากับสัดส่วนอาหารสุขภาพที่ส่งออกไปทั่วโลก และเติบโตใกล้เคียงกับอาหารทั่วไป จากผู้บริโภคที่มี 2 กลุ่ม คือ กลุ่มผู้บริโภคอาหารปกติและกลุ่มผู้บริโภคอาหารที่ค่อนข้างใส่ใจต่อสุขภาพ สอดคล้องไปกับเทรนด์ผู้สูงอายุที่จำเป็นต้องมีอาหารเฉพาะ กินแล้วย่อยง่ายแต่ได้สารอาหารครบถ้วน อาจจะต้องคำนึงถึงการบดเคี้ยว การกลืนง่าย บรรจุภัณฑ์ต้องสะดวก ซึ่งผู้ประกอบการไทยเริ่มหันมาสนใจทดลองทำอาหารสุขภาพมากขึ้นประมาณ 10% จากผู้ประกอบการทั้งหมดในประเทศ 1.2 แสนราย โดยเฉพาะกลุ่มสตาร์ทอัพ เพราะเข้าถึงง่าย แค่ดูแลเรื่องความหวาน มัน เค็ม ในการผลิตให้ได้”
โดยสภาวะที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ผลิตอาหารในประเทศไทยต้องปรับตัว ทั้งเรื่องสิ่งแวดล้อม ความต้องการของผู้บริโภค และการผลิตจะมองแค่ตลาดในประเทศไทยไม่ได้ ต้องมองไปยังความต้องการของประชากรโลกด้วย นอกจากนี้ยังมีเรื่องความขัดแย้งจากภาวะสงคราม ที่จะทำให้เกิดการขาดแคลนอาหาร ฉะนั้นการปรับเปลี่ยนและเตรียมพร้อมจึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งขณะนี้มีบางประเทศสามารถทำเนื้อสัตว์ด้วยการเพาะเลี้ยงจากห้องแลป (Cultured meat) ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้ว เช่น สิงคโปร์
นายวิศิษฐ์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันวิธีคิดของผู้บริโภคคนไทยกับทางยุโรปจะแตกต่างกัน ในยุโรปการซื้อสินค้าแต่ละชนิดจะต้องรู้ที่มาว่า กระบวนการผลิตส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือไม่ ซึ่งพื้นฐานการรับรู้ของแต่ละประเทศจะแตกต่างกัน เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้การบริโภคแบบวีแกน (Vegan) ฝั่งยุโรปเพิ่มขึ้นในอัตราสูง ขณะที่ประเทศไทยก็มีผู้บริโภคกลุ่มนี้เช่นกัน รวมถึงการกินเจหรือกินมังสวิรัติ กินตามความเชื่อทางศาสนา แม้ไม่มีสถิติว่าผู้บริโภคกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหน แต่อัตราการเติบโตน่าจะมากกว่า 5% ต่อปี
นอกเหนือจากนี้ยังมีกลุ่มผู้ป่วยที่ต้องควบคุมการกิน และเป็นกลุ่มที่เลือกกินพืชผักมากกว่าเนื้อสัตว์ที่จะมีก็ได้ ไม่มีก็ได้ เรียกว่าการกินอาหารแบบ Flexitarian (Flexible + Vegetarian) ถือเป็นกลุ่มเป้าหมายของอาหารอนาคตและอาหารทางเลือกด้วย ซึ่งผู้ประกอบการทั้งคนรุ่นใหม่-รุ่นเก่า รวมทั้ง SMEs เริ่มมองเห็นตลาดและโอกาสตามเทรนด์ของโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงได้ชัดขึ้น
โดยผู้ประกอบการไทยมีการส่งออกอาหารอนาคต (Future Food) อยู่ในสัดส่วนประมาณ 10% คิดเป็นมูลค่า 1.5 แสนล้านบาท จากอุตสาหกรรมอาหารที่ส่งออกทั้งหมด 1.5 ล้านล้านบาท โดยตัวเลขล่าสุดไตรมาส 1 ปี 2567 ไทยมีมูลค่าการส่งออกสินค้าอาหารราว 3.7 แสนล้านบาท เติบโต 2.79% กลุ่มสินค้าเกษตรอาหารมีมูลค่าส่งออก 1.75 แสนล้านบาท เติบโต 8% กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรมีมูลค่าส่งออก 1.97 แสนล้านบาท โดยทั้งปี 2567 คาดว่ามูลค่าการส่งออกอาหารและเครื่องดื่มจะมีมูลค่าราว 1.55 -1.6 ล้านล้านบาท หรือเติบโตราว 3 % เมื่อเทียบกับปี 2566
“อย่างไรก็ตาม นิยามของเทรนด์อาหารแห่งอนาคต ต้องเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ มีความยั่งยืน ดูแลสิ่งแวดล้อม และมีนวัตกรรม ในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวอย่างน้อยน่าจะเห็นการเติบโต 5% หากเศรษฐกิจดีอาจถึง 10% ซึ่งผู้ประกอบการต้องติดตามสถานการณ์รอบด้านอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ความกังวลด้านต้นทุนการผลิต ทั้งการปรับค่าแรง ต้นทุนพลังงาน ดอกเบี้ย นโยบายที่ยังคงทรงตัวระดับสูง อัตราค่าระวางเรือที่ปรับตัวสูงทุกเส้นทาง ปัญหาภัยแล้งที่จะส่งผลกระทบต่อผลผลิตภาคการเกษตร รวมถึงโอกาสและปัจจัยต่าง ๆ ร่วมด้วย” นายกสมาคมการค้าอาหารอนาคตไทย กล่าวในตอนท้าย