โรคฝีดาษลิง หรือ ฝีดาษวานร (Monkeypox) ได้รับความสนใจจากประชาชนอีกครั้งหลังปรากฎข่าวมีรายงานจากกองด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ และกองระบาดวิทยาว่า พบผู้ต้องสงสัยฝีดาษวานรสงสัยสายพันธุ์ Clade I (เคลดวัน) เป็นชายชาวยุโรป อายุ 66 ปีเดินทางมาจากทวีปแอฟริกาซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการระบาดเมื่อช่วงเย็นของวันที่ 14 สิงหาคม ที่ผ่านมา
ขณะที่ องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศให้ โรคฝีดาษวานร ในบางพื้นที่ของทวีปแอฟริกามีสถานะเป็น "ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ" เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2567 เพื่อร่วมสร้างการตระหนักรู้ให้กับประชาชน ไม่ตื่นตระหนกกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อให้สามารถรับมือและเตรียมความพร้อมให้กับตัวเองได้ ฐานเศรษฐกิจ พาไปรู้จักกับ โรคฝีดาษวานร กันให้มากขึ้น
โรคฝีดาษวานร เกิดจากเชื้อไวรัส ตระกูลเดียวกับโรคฝีดาษ หรือไข้ทรพิษ มีความรุนแรงน้อยกว่า ผู้ป่วยจะมีไข้ร่วมกันมีผื่น ตุ่มหนอง ตามร่างกาย
จากข้อมูลกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ร่วมกับ กรมควบคุมโรค ซึ่งได้ติดตามสถานการณ์สายพันธุ์ของเชื้อฝีดาษวานรในประเทศไทย ด้วยการสุ่มตรวจทางห้องปฏิบัติการมาโดยตลอด
ล่าสุดจากการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนม จำนวน 191 ราย ผลการวิเคราะห์ แบ่งได้เป็น 8 สายพันธุ์ย่อย คือ A.2, A.2.1, B.1, B.1.12, B.1.3, B.1.7, C.1 และ C.1.1
พบมากที่สุด คือ สายพันธุ์ย่อย C.1 คิดเป็นสัดส่วน 85.34% รองลงมา คือ สายพันธุ์ย่อย A.2.1 (5.76%) ตามด้วย สายพันธุ์ย่อย C.1.1 (3.66%) และ สายพันธุ์ย่อย A.2 (2.09%) ตามลำดับ
สำหรับสายพันธุ์ย่อย C.1 เป็นสายพันธุ์ที่พบส่วนใหญ่ในประเทศไทยซึ่งแตกต่างจากในช่วงแรกของสถานการณ์ระบาดที่เป็นสายพันธุ์ย่อย A.2 ทั้งนี้ บ่งชี้ถึงการวิวัฒนาการของไวรัสที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับการสะสมของการกลายพันธุ์ที่เกิดขึ้น เพื่อปรับตัวตลอดเวลา สายพันธุ์ย่อย C.1 ถือว่า มีความรุนแรงน้อยกว่าสายพันธุ์อื่น
เมื่อเทียบกับสายพันธุ์ Clade I (เคลดวัน) ที่มีการระบาดอยู่ในทวีปแอฟริกา โดยเคลดวัน มีอัตราการเสียชีวิตสูงถึง 10% ในขณะที่Clade II ทั้ง เคลดทูเอ (Clade IIa), เคลดทูบี (Clade IIb) ซึ่งรวมถึง C.1 มีอัตราการเสียชีวิตต่ำกว่าเพียง 1% โดยทั่วไปเคลดทู Clade II (รวมถึง C.1) มีลักษณะการแพร่เชื้อที่ไม่รุนแรงและมีอัตราการเสียชีวิตต่ำในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันปกติ
ปัจจุบันได้จำแนกไวรัสฝีดาษวานร ออกเป็น 3 สายพันธุ์หลัก คือ
ขณะที่สถานการณ์โรคฝีดาษวานรในประเทศไทยนั้น ข้อมูลจากกรมควบคุมโรค ระบุว่า ตั้งแต่พบผู้ติดเชื้อรายแรกในเดือนกรกฎาคม 2565 จนถึงวันที่ 20 พฤษภาคม 2567 มีรายงานผู้ป่วยรวม 787 ราย เป็นเพศชาย 768 ราย (ร้อยละ 97) ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล เชียงใหม่ ระยอง และอุดรธานี ตามลำดับ
ข้อมูลตั้งแต่ต้นปี 2567 ที่ผ่านมา มีการตรวจพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็นระยะและเริ่มมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่ช่วงกลางเดือนเม.ย. (หลังเทศกาลสงกรานต์) จนถึงเดือน พ.ค. จึงต้องเฝ้าระวังพร้อมป้องกัน ลดเสี่ยง ลดโรค
ประชาชนที่มีประวัติสัมผัสใกล้ชิดกับผู้สงสัยฝีดาษวานร หรือการสัมผัสใกล้ชิด แนบแน่น กอดจูบ ลูบ คลำ พูดคุยระยะ 1 เมตรโดยไม่สวมหน้ากากอนามัย หรือเคยดูแลผู้ป่วยสงสัยฝีดาษวานร ให้สังเกตอาการตนเองเบื้องต้นภายหลังสัมผัสผู้ป่วย หรือมีความเสี่ยงภายใน 21 วัน ดังนี้
ผู้ที่มีอาการเหล่านี้ แนะนำให้เข้ารับการตรวจที่โรงพยาบาล หรือสถานบริการสุขภาพใกล้บ้านทันทีเพื่อตรวจหาเชื้อได้ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายจากนั้นจะทราบผลตรวจภายใน 1-5 วัน
1.ผู้ที่อยู่ระหว่างรอผลตรวจ
2.ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง หรือ ภูมิคุ้มกันต่ำ
หากมีอาการให้รีบพบแพทย์ทันที อย่าชะล่าใจเนื่องจากมีอาการรุนแรงได้
3.ประชาชนทั่วไป
นอกจากนี้การหลีกเลี่ยงไปในสถานที่ที่มีกิจกรรมการรวมตัว หรือกิจกรรมพบปะสังสรรค์ ที่อาจเสี่ยงติดโรคฝีดาษวานรก็เป็นอีกวิธีที่สามารถป้องกันฝีดาษวานรได้
ทั้งนี้ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร 1422