แพทย์วอนรัฐเพิ่มงบบัตรทอง เหตุรพ.ขาดทุนหนัก หวั่นระบบสาธารณสุขล่ม

19 ก.ย. 2567 | 06:05 น.
อัพเดตล่าสุด :19 ก.ย. 2567 | 06:13 น.

คณะแพทย์ช่วยเพื่อนแพทย์ฯ ยื่นข้อเสนอรัฐบาลแก้ปัญหาวิกฤติสาธารณสุข เน้นเพิ่มงบฯ-ลดรายจ่าย ก่อนพิจารณา "ร่วมจ่าย" หวั่นไม่แก้ไข กระทบคุณภาพการรักษา-แพทย์ลาออกต่อเนื่อง

19 กันยายน 2567 คณะแพทย์ช่วยเพื่อนแพทย์และประชาชน นำโดย ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ.อำนาจ กุสลานันท์ หัวหน้าคณะแพทย์ช่วยเพื่อนแพทย์และประชาชน (ชพพป.) พร้อมด้วยพล.ต.ต.นพ.พัฒนา กิจไกรลาส รองหัวหน้า ชพพป. นพ.โชติศักดิ์ เจนพาณิชย์ เลขานุการ ชพพป. และพญ.สุธัญญา บรรจงภาค รองเลขานุการ ชพพป. เข้ายื่นหนังสือถึงนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยผ่าน นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเพื่อเรียกร้องขอให้แก้ปัญหา "วิกฤติระบบสาธารณสุขของชาติ" โดยมี นพ.วัฒน์ชัย จรูญวรรธนะ ที่ปรึกษาระดับกระทรวง เป็นผู้รับหนังสือแทน

ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ.อำนาจ กล่าวว่า การยื่นหนังสือครั้งนี้เพื่อขอให้แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในระบบสาธารณสุขโดยเฉพาะค่าใช้จ่ายด้านระบบสาธารณสุขที่ไม่เพียงพอต่อความเป็นจริง เห็นได้จากข่าวโรงพยาบาลหลายแห่งออกมาประกาศถึงปัญหาขาดสภาพคล่อง หรือภาวะขาดทุนซึ่งหากไม่ดำเนินการอะไร งบประมาณยังเป็นเช่นนี้ เกรงว่า สุดท้ายระบบจะอยู่ไม่ได้ พร้อมมีข้อเสนอรวม 3 ประเด็น ดังนี้ 

1.อนุมัติจ่ายเงินงบประมาณด้านการรักษาพยาบาล ในระบบหลักประกันสุขภาพเพิ่มขึ้น และบริหารจัดการเงินที่จ่ายให้โรงพยาบาลให้เพียงพอกับการรักษาพยาบาลของโรงพยาบาล

กรณีที่มีความจำเป็นอาจต้องให้ผู้ป่วยร่วมจ่ายด้วยเพื่อให้โรงพยาบาลของรัฐยังคงมีเงินเพียงพอ ที่จะให้การรักษาผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2.เปลี่ยนนโยบายด้านสาธารณสุข โดยเน้นให้มีการสร้างเสริมสุขภาพเป็นหลัก ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดี ลดภาระการรักษาพยาบาลของรัฐ โดยจัดให้มีการประชาสัมพันธ์เป็น "วาระแห่งชาติ" เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนออกกำลังกาย

รับประทานอาหารสุขภาพ และลดความเครียด งดบุหรี่ กัญชา กระท่อม ยาบ้า งดหรือลดเครือ่งดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อให้ประชาชนมีความสุข มีสุขภาพดี ซึ่งสุดท้ายจะส่งผลให้ค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาลที่อยู่ในภาวะวิกฤติลดลงได้ในที่สุด

3.เพิ่มค่าตอบแทนแพทย์ให้เหมาะสม และปรับภาระงานไม่ให้ล้นเกิน เพื่อให้แพทย์มีเวลาเพียงพอในการตรวจรักษาผู้ป่วยด้วยความละเอียดรอบคอบมากขึ้น และมีเวลาพักผ่อนตามสมควร รวมทั้งมีมาตรการลดความเสี่ยงในการถูกฟ้องร้อง เพื่อแก้ปัญหาแพทย์ลาออกจากระบบราชการจำนวนมากดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ.อำนาจ กล่าวเพิ่มเติมว่า อยากให้รัฐบาลประชุมทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อมาแบตัวเลขค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขทั้งหมดว่า จริง ๆ เป็นเท่าไร เพื่อให้สามารถรักษามาตรฐานของการรักษาพยาบาลแต่หากรัฐบาลบอกว่า ไม่ไหวแล้ว เงินมีแค่นี้ก็อาจต้องให้ประชาชนร่วมจ่ายซึ่งการร่วมจ่ายมีวิธีมากมาย ทั้งญี่ปุ่น ยุโรป ระบบก็ไปได้ แต่หากไทยไม่ทำ สักวันระบบจะพังทลาย

หมอจะรู้สึกว่า เงินที่ให้มาดูแลผู้ป่วยไม่พอ ทางรพ.อาจตัดงบพิเศษการตรวจอื่น ๆ หรือยาดี ๆ อาจถูกลดก็เป็นได้ แบบนี้หมอก็ไม่สบายใจ ผิดมาตรฐานรักษา และหมอก็มีความเสี่ยง อาจถูกฟ้องได้ หมอก็จะหนี หลุดออกจากระบบราชการ

เรื่องภาระงานหมอสำคัญมาก ตอนนี้แพทย์ลาออกเยอะ ไม่ใช่ว่าทำงาน 24 ชั่วโมง ให้พัก 4 ชั่วโมง อย่างน้อย ๆ ต้อง 8 ชั่วโมง และค่าตอบแทนต้องเหมาะสม เช่น ค่าเวรฉุกเฉิน 1,200 บาทต่อ 8 ชั่วโมง บางครั้งหมอไม่ได้ทานข้าว ซีพีอาร์คนไข้ 10 กว่ารายก็มี เป็นเรื่องที่หมอทนไม่ได้ เฉลี่ยชั่วโมงละ 150 บาท และเงินตรงนี้ควรเป็นเงินจากงบประมาณ ไม่ใช่เงินจากเงินบำรุง ซึ่งรพ.ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายอยู่แล้ว เมื่อหมอลาออก คนที่เหลือก็หนักขึ้นอีก สุดท้ายระบบจะล้มตามกันไป กลายเป็นโดมิโนออกตาม ๆ กัน

เรื่องนี้จึงขอเสนอให้ท่านนายกฯ และท่านรมว.สธ. รีบแก้ไขตามที่เสนอข้างต้น และเราไม่จำเป็นต้องผลิตแพทย์เพิ่ม ควรทำให้พวกเขาคงอยู่ในระบบ หรือให้นำแพทย์เกษียณมาช่วยงานอีกครั้ง ท่านยังทำได้ 

ต่อข้อซักถามกรณีมีการประมาณการหรือไม่ว่า หากไม่ทำอะไรระบบสาธารณสุขจะล้มละลายในอีกกี่ปีนั้น นพ.โชติศักดิ์ เจนพาณิชย์ เลขานุการ ชพพป. กล่าวว่า คงไม่สามารถประมาณการว่าระบบสาธารณสุขจะล้มละลายเมื่อไรแต่ที่มาเสนอเพราะมองว่า หากเงินไม่พอจะไปต่อไม่ได้แต่ด้วยเงินเป็นทรัพยากรจำกัด จะทำอย่างไรให้พอ ง่ายที่สุด คือ 

1.ต้องมาดูว่า เงินที่จ่ายไปใช้ประโยชน์เต็มที่หรือไม่ ไม่ใช่ว่าใช้ 100 แต่ใช้แค่ 40 ก็ต้องมาดูว่า ติดตรงไหน

2.ลดรายจ่าย ด้วยการส่งเสริมสุขภาพประชาชน อาจมีแนวคิดเป็นโครงการ ไม่เจ็บป่วยได้แต้ม เป็นแนวคิดเชิงบวก แต้มนั้นจะนำไปทำอะไรต่อ อย่างไรก็ตาม หากดูแล้วเงินไม่พอก็ต้องทำอย่างไร หนึ่งเติมเงิน และสองหากไม่พอก็ต้องให้ประชาชนช่วยในเรื่องร่วมจ่าย แต่ก็มีหลายวิธีซึ่งไม่ได้บอกว่า ต้องร่วมจ่ายเลย มีขั้นตอนอยู่

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ล่าสุด รมว.สาธารณสุข ระบุว่าให้เลิกคิดเรื่อง ร่วมจ่าย นั้น นพ.โชติศักดิ์ กล่าวว่า ร่วมจ่าย เป็นทางเลือกสุดท้าย โดยมีขั้นตอนก่อนหน้านี้ คือ บริหารจัดการเงินก่อน ลดค่าใช้จ่าย หรือเติมเงิน

ด้านพล.ต.ต.นพ.พัฒนา กิจไกรลาส  รองหัวหน้าคณะแพทย์ฯ กล่าวว่า เมื่องบประมาณไม่เพียงพอ สุดท้ายหน่วยบริการจะไปลดรายจ่าย และอาจกระทบการบริการได้ในอนาคต แพทย์ก็ลำบากใจ บุคลากรต่าง ๆ อยู่ด้วยความไม่สบายใจ เพราะเราถูกฝึกให้ดูแลผู้ป่วยดีที่สุด

สิ่งเหล่านี้เมื่อเกิดขึ้นก็ย่อมเสี่ยงให้แพทย์ถูกฟ้อง สุดท้ายบั่นทอนกำลังใจคนทำงาน เกิดปรากฎการณ์สมองไหล คนออกจากระบบมากขึ้นเรื่อยๆ จึงมายื่นข้อเรียกร้องต่อนายกฯ ต่อรมว.สธ. ต่อรัฐบาลในครั้งนี้