ปัจจุบันคนทั่วโลกกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัย โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ก็เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCDs เช่น เบาหวาน โรคอ้วน และความเครียด ทำให้ภาพรวม ธุรกิจ Wellness เป็นที่นิยม เทรนด์การดูแลสุขภาพจึงได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากข้อมูลตลาด Wellness ทั่วโลก ที่คาดว่าจะโตต่อเนื่องทุกปีราว 8.6% และจะถึง 8.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2570
ขณะที่ประเทศไทยเป็นหนึ่งใน 20 อันดับจุดหมายปลายทางด้าน Wellness ของโลก สอดคล้องกับนโยบาย Wellness Hub Thailand ที่ต้องการให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของโลก
ฉะนั้น BDMS Wellness Clinic ในเครือ BDMS หรือ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบการกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนรายใหญ่ จึงเล็งเห็นถึงโอกาส เดินหน้ารุกตลาด Ultra Luxury Wellness สร้างความตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพองค์รวม เพื่อป้องกันการเกิดโรคต่าง ๆ
โดยเปิดตัวบัตร Longevity Card บัตรสมาชิกรายปีเพื่อการดูแลสุขภาพ ตรวจวิเคราะห์สุขภาพเชิงลึกที่ครอบคลุมในหลายมิติ ไปจนถึงการวางแผนการดำเนินชีวิตเพื่ออายุยืนยาวอย่างมีคุณภาพ (Healthspan) ด้วยหลักเวชศาสตร์วิถีชีวิต ให้เหมาะกับผลตรวจสุขภาพเฉพาะบุคคล (Personalized Diet)
นายแพทย์ตนุพล วิรุฬหการุญ ประธานคณะผู้บริหาร บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก และบีดีเอ็มเอส เวลเนส รีสอร์ท บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า Longevity Card เปรียบเสมือนการลงทุนในสุขภาพตลอดปี ภายใน 1 ปี เพื่อตรวจสุขภาพในระดับ DNA จนถึงการบริการด้านสุขภาพอื่น ๆ เสมือน Wellness Life Blueprint พิมพ์เขียวสู่สุขภาพดีที่ยั่งยืน มีโปรแกรมตรวจสุขภาพในหลายมิติ ภายใต้คอนเซ็ปต์ Predict Prevent Personalize ตรวจสุขภาพในระดับเซลล์กว่า 80 รายการ
“บริการนี้เป็นอีกแรงขับเคลื่อนสำคัญในการผลักดันประเทศไทยสู่การเป็น Wellness Destination of the World หรือ Wellness Hub Thailand Project ที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจากทั่วโลก ซึ่ง BDMS และทีมแพทย์ในเครือมุ่งมั่นที่จะช่วยผลักดันให้ประเทศไทย เป็นจุดหมายปลายทางด้านสุขภาพที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล”
จะเห็นได้ว่า การสร้างฐานลูกค้าของ BDMS Wellness Clinic ด้วยกลยุทธ์ดังกล่าวด้วยเงิน 1 ล้านบาท ผ่านบัตรสมาชิกรายปี Longevity Card เพื่อดูแลสุขภาพไม่ให้เจ็บป่วย อาจมุ่เน้นไปยังกลุ่มลูกค้าระดับไฮเอนด์ และชาวต่างชาติที่มีกำลังซื้อสูง ต่อยอดในอนาคตได้ แต่อาจไม่ตอบโจทย์กลุ่มคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศที่ยังคงอยู่ใน Mass Market