นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้เกียรติร่วมหารือกับผู้บริหารสื่อเครือเนชั่น เปิดใจบอกเล่าเรื่องราวชีวิต เส้นทางทางการเมือง พร้อมอัปเดตความคืบหน้าการทำงานในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รวมถึงนโยบายที่กำลังขับเคลื่อนในวันนี้และในอนาคตอันใกล้
"รมว.สมศักดิ์" นับเป็นหนึ่งในนักการเมืองไทยที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมาแล้วหลายกระทรวง นอกเหนือจากเก้าอี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในปัจจุบัน นายสมศักดิ์เคยเป็นรัฐมนตรีในกระทรวงคมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงแรงงาน และกระทรวงยุติธรรม รวมถึงเป็น รองนายกรัฐมนตรี มาแล้ว
ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข หลากหลายเรื่องที่สังคมให้ความสนใจสำหรับการขับเคลื่อนเรื่องของ กัญชา นั้น นายสมศักดิ์ กล่าวย้ำว่า ยึดหลักวันที่นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 12 ก.ย.2567 เน้นย้ำส่วนหนึ่งของนโยบายว่า การใช้กัญชาเพื่อการแพทย์ สร้างมูลค่าเพิ่มในทางเศรษฐกิจและควบคุมผลกระทบทางสังคมโดยการตรากฎหมาย
หลังจากที่ กระทรวงสาธารณสุขได้เปิดรับฟังความเห็นต่อร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง พ.ศ...ผ่านเว็บไซต์ระบบกลางทางกฎหมาย ได้ส่งเรื่องเพื่อให้ ครม.พิจารณาแล้ว ล่าสุดอยู่ในขั้นของกฤษฎีกา นายสมศักดิ์ กล่าวถึงเนื้อหาสาระของร่างกฎหมายฉบับนี้ว่า ไม่ต่างไปจากที่เคยเสนอไป สาระสำคัญ คือ "ห้ามสันทนาการ ให้ใช้เพื่อการแพทย์"
นอกจากนี้ได้ขับเคลื่อนนโยบาย "30 รักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว" มุ่งเพิ่มความสะดวกและรวดเร็วในการให้บริการ นายสมศักดิ์ เล่าว่า จากข้อมูล สปสช. พบว่า ประชาชนเข้าใช้บริการในโรงพยาบาลประมาณ 304 ล้านครั้งต่อปีเพื่อลดความแออัดที่เกิดขึ้นได้ทดลองนำร่องติดตั้ง "ตู้ห่วงใย" เป็นแห่งแรกที่ "สหกรณ์เคหสถานเจริญชัยนิมิตรใหม่" กทม.
สำหรับ "ตู้ห่วงใย" นี้เป็นนวัตกรรมให้บริการพบแพทย์ทางไกลในชุมชนต่าง ๆ ใช้พื้นที่น้อย โดยผู้ป่วยจะได้รับการวัดส่วนสูง น้ำหนัก และความดัน รวมทั้งการซักถามประวัติ จากนั้นข้อมูลทั้งหมดจะถูกส่งไปยังศูนย์บริการโดยแพทย์ผู้รับสายจะวิเคราะห์ข้อมูลและตรวจรักษา พร้อมจ่ายยาให้โดยไรเดอร์จะจัดส่งยารักษาให้ถึงบ้าน มีค่าบริการขั้นต่ำอยู่ที่ 300 บาท ซึ่ง สปสช. จะเป็นผู้รับผิดชอบ ตั้งเป้าจะขยายไปยังพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศให้มากขึ้น
ทั้งยังยืนยันด้วยว่า 30 รักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว พร้อมให้บริการครบทุกจังหวัดภายในสิ้นปี 2567 ตามแผนที่วางไว้แน่นอน
ส่วนกรณีที่แพทยสภาฟ้องศาลปกครองประเด็นโครงการจ่ายยาผู้ป่วยบัตรทองเจ็บป่วยเล็กน้อย 32 กลุ่มอาการเนื่องจากมองว่า บางกลุ่มอาการมีความเสี่ยงและอันตรายต่อประชาชน หากจ่ายยาไปโดยไม่มีการวินิจฉัยโรคจากแพทย์ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม เช่น ปวดหัว ปวดท้อง และ ตกขาว เป็นต้น
เบื้องต้นในการหารือกับตัวแทนแพทยสภาได้เสนอให้มีการตั้งคณะกรรมการร่วมกันเพื่อพิจารณากำหนดกลุ่มอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยที่เภสัชกรรมร้านขายยาคุณภาพสามารถจ่ายยาให้ได้โดยไม่เป็นอันตรายอาจจะนำไปสู่การแก้ไขประกาศของ สปสช.ที่เกี่ยวข้องซึ่งตัวเขาเองก็ยินดีที่จะทำเพื่อประโยชน์ของประชาชน
อีกหนึ่งแคมเปญใหญ่ที่กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ คือ การรณรงค์เรื่องของโรค NCDs (โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง) จากข้อมูลระบุว่า คนไทยเสียชีวิตด้วยโรค NCDs ปีละกว่า 400,000 ราย ขณะที่คนไทยมีแนวโน้มเป็นโรค NCDs เพิ่มขึ้นปีละ 2 ล้านคน เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลสูงถึง 100 ล้านครั้งต่อปี โดย สปสช.ใช้งบประมาณไปกับการรักษาโรค NCDs ปี 2567 อยู่ที่ประมาณ 152,738 ล้านบาท คิดเป็น 52% ของงบประมาณ
จึงไม่น่าแปลกใจที่นายสมศักดิ์ จะให้ความสำคัญขับเคลื่อนเรื่องนี้ด้วยตัวเองผ่านการเดินสายบรรยายพิเศษให้ความรู้กับเหล่าอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ในจังหวัดต่าง ๆ ในการ "นับคาร์บ" สูตรคำนวณปริมาณการกินคาร์โบไฮเดรตในแต่มื้อที่เหมาะสมกับแต่ละคน ซึ่งเกิดจากการเก็บสถิติมาเป็นเวลานับร้อยปีของนักวิทยาศาสตร์ Harris Benedict Equation
"นี่เป็นเพียงส่วนแรกเท่านั้น เรื่องนี้ต้องทำ 4 part ควบคู่กัน นอกจากเรื่องของ คาร์โบไฮเดรต (นับคาร์บ) แล้วยังต้องทำเรื่องโปรตีน ไขมัน และการออกกำลังกายด้วย" นายสมศักดิ์ กล่าว