เข้าสู่เทศกาลยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี ทำให้เริ่มเห็นบรรดาผู้ค้า โดยเฉพาะร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ “คนละครึ่ง” ต่างออกมาโอดโอ๊ยเมื่อถูกสรรพากร ส่งหนังสือเตือนให้ยื่นแบบภาษีถึงหน้าบ้าน และทำให้ผู้ค้าบางร้าน งดรับสแกนสิทธิ โดยเฉพาะโครงการ “คนละครึ่งเฟส4” เนื่องจากกังวลว่าจะต้องเสียภาษี
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า รัฐบาลไม่ได้ยกเว้นภาษีให้สำหรับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการของรัฐ พร้อมมองว่าหากร้านค้าใดที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ก็มีหน้าที่ที่ต้องเข้าสู่ระบบภาษี ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
วันนี้ฐานเศรษฐกิจ จึงมาสรุปให้ดูว่า ใครบ้างมีหน้าที่ต้องยื่นแบบภาษี และรายได้เท่าไหร่บ้างที่จะเข้าเกณฑ์ต้องเสียภาษี ดังนี้
พ่อค้าแม่ค้า บุคคลธรรมดา ที่เข้าร่วมโครงการรัฐ ที่รับชำระเงินผ่านแอพพลิเคชั่น “ถุงเงิน” ทั้งที่เป็นส่วนที่ได้รับจากลูกค้าและส่วนที่ได้รับจากรัฐ รายได้ดังกล่าว ถือเป็น “เงินได้พึงประเมิน” ตามมาตรา 40(8) ประมวลรัษฎากร สำหรับรายได้ที่ต้องนำมายื่นภาษี มี 3 ส่วน คือ เงินได้จากรัฐ เงินได้จากลูกค้า และเงินได้หรือยอดขายอื่นๆ นอกโครงการรัฐ
โดยหากรายได้ถึงเกณฑ์ขั้นต่ำที่กำหนด จะต้องยื่นแบบภาษี คือ
โดยจะต้องยื่นแบบภาษี ทั้งแบบ ภ.ง.ด.94 ภายในเดือนกันยายน และแบบ ภ.ง.ด.90 ภายในเดือนมีนาคม ปีถัดไป
ผู้มีเงินได้ ยังมีสิทธินำค่าใช้จ่ายมาหักลดหย่อน “หักค่าใช้จ่าย” ตามความจริง โดยจะต้องมีเอกสารแสดง เช่น ค่าใช้จ่ายซื้อวัตถุดิบ ค่าใช้จ่ายจ้างพนักงาน ค่าเช่า เป็นต้น หรือ หักแบบเหมาในอัตราร้อยละ 60 และหักค่าลดหย่อนอื่นๆ ตามที่กฎหมายกำหนด เช่น ค่าใช้จ่ายเลี้ยงดูบุตร-พ่อแม่ที่อายุเกิน 60 ปี เงินออม การลงทุน ประกันสุขภาพและชีวิต และเงินบริจาค เป็นต้น
ซึ่งอัตราภาษีสำหรับผู้มีรายได้สุทธิถึงเกณฑ์ จะเป็นอัตราแบบขั้นบันได เริ่มตั้งแต่ 5% - 35% ซึ่งจะเริ่มคิดอัตราภาษี 5% หากมีเงินได้สุทธิตั้งแต่ 150,001 บาทต่อปี ขณะที่อัตราภาษีสูงสุดที่ 35% จะต้องมีรายได้สุทธิตั้งแต่ 5,000,001 บาทต่อปีขึ้นไป ดังนั้นเมื่อยื่นแบบเงินได้และหักค่าลดหย่อน คำนวณแล้วพบว่ามีเงินได้สุทธิไม่เกิน 150,000 บาทต่อปี ก็จะไม่ต้องเสียภาษีแต่อย่างใด
แต่สิ่งหนึ่งที่ร้านค้าต้องระวังคือ หากมีรายได้เกิน 1,800,000 บาทต่อปี จะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและเสียภาษีมูลค่าเพิ่มนําส่งให้กรมสรรพากร โดยต้องจัดทํารายงานภาษีขาย รายงานภาษีซื้อ เพื่อยื่นแบบ ภ.พ.30 นําส่งภาษีมูลค่าเพิ่มทุกเดือน และชําระเงินภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไปด้วย
ดังนั้น หากผู้ค้าคนใด ที่ได้รับจดหมายแจ้งเตือนให้ยื่นแบบภาษีจากกรมสรรพากร ไม่ต้องตกใจ เพราะจดหมายดังกล่าวเพียงแต่แจ้งเตือนให้ผู้ค้ารู้ตัวว่ามีรายได้ถึงเกณฑ์ที่ต้องยื่นภาษี และจะต้องทำการยื่นแบบภาษีภาบในระยะเวลาที่กำหนด เพื่อไม่ต้องเสียค่าปรับในการยื่นภาษีล่าช้า ไม่เกิน 2,000 บาท และเงินเพิ่มอีก 1.5% ต่อเดือนของจำนวนภาษีที่ต้องชำระ