ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 36.68 บาทต่อดอลลาร์“อ่อนค่าลง”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 36.60 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่า เงินบาทยังมีแนวโน้มผันผวนและมีความเสี่ยงที่จะอ่อนค่าทดสอบแนวต้านแถว 36.70-36.80 บาทต่อดอลลาร์ได้
ท่ามกลางปัจจัยกดดันจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ที่จะมาจากทั้งความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอตัวลงหนัก ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่แย่กว่าคาด รวมถึงมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่กลับมาเชื่อว่าเฟดอาจเร่งขึ้นดอกเบี้ยรุนแรงได้
นอกจากนี้ ปัจจัยที่ต้องระมัดระวังในระยะสั้น คือ ความเสี่ยงที่ทางการจีนอาจใช้มาตรการ Lockdown ที่เข้มงวดเพื่อควบคุมการระบาดของ COVID-19 และ
มุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ในไทย ที่อาจกระทบต่อฟันด์โฟลว์ของนักลงทุนต่างชาติได้ในช่วงนี้
ทั้งนี้ ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูง ดังจะเห็นได้จากความผันผวนของเงินบาทที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 10 ปี ที่ระดับ +2 S.D. (Standard Deviation)
เราแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.60-36.75 บาท/ดอลลาร์
ผู้เล่นในตลาดยิ่งกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจหลักชะลอตัวลงหนักและเสี่ยงที่จะเข้าสู่สภาวะถดถอยได้ หลังจากที่มีรายงานข่าวว่า บริษัท Apple อาจชะลอการจ้างงานและควบคุมการใช้จ่ายในปีหน้า เพื่อรับมือกับความเสี่ยงการชะลอตัวของเศรษฐกิจ
ซึ่งข่าวดังกล่าวสอดคล้องกับการปรับตัวของบรรดาบริษัทเทคฯ อาทิ Meta (Facebook) และ Tesla ทำให้ ผู้เล่นในตลาดพลิกกลับมาปิดรับความเสี่ยง กดดันให้ในฝั่งสหรัฐฯ ดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.84%
อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้แรงหนุนจากการรีบาวด์ขึ้นแรงของหุ้นกลุ่มพลังงานที่ปรับตัวขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ จากมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่คาดว่า การมาเยือนซาอุฯ ของผู้นำสหรัฐฯ อาจไม่ได้ส่งผลให้บรรดาประเทศกลุ่ม OPEC ในตะวันออกกลางจะตัดสินใจเพิ่มกำลังการผลิตให้มากขึ้นในระยะสั้นนี้ (Exxon Mobil +1.9%, Chevron +1.4%)
ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ของยุโรป พลิกกลับมาปรับตัวขึ้น +1.00% หนุนโดยความหวังว่ารัฐบาลจีนจะประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ซึ่งภาพดังกล่าวได้หนุนให้หุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยซึ่งเป็นที่นิยมของผู้บริโภคชาวจีน ต่างปรับตัวสูงขึ้น (Kering +2.8%, Dior +1.7%)
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงานเช่นเดียวกันกับฝั่งสหรัฐฯ (BP +2.5%, Total Energies +2.3%) ทว่า แรงกดดันต่อตลาดหุ้นยุโรปยังคงเป็นความกังวลวิกฤติพลังงาน หากสุดท้ายรัสเซียลดหรือยุติการส่งแก๊สผ่านท่อ Nord Stream 1 แม้ว่าจะครบกำหนดการซ่อมบำรุงในวันที่ 21 กรกฎาคมนี้
ทางด้านตลาดบอนด์ แม้ว่าผู้เล่นบางส่วนในตลาดยังคงมองว่าเฟดมีโอกาสราว 30% ที่จะเร่งขึ้นดอกเบี้ยถึง 1.00% ในการประชุมเดือนกรกฎาคมนี้ แต่ความต้องการถือพันธบัตรระยะยาวเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ได้ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงแกว่งตัว sideways ใกล้ระดับ 2.98%
ทั้งนี้ เรามองว่า ในช่วงก่อนรับรู้ผลการประชุมเฟด ผู้เล่นในตลาดจะติดตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด อาทิ ข้อมูลตลาดบ้าน รวมถึงรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและการบริการ เพื่อประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของเฟด ทำให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงผันผวนไปตามมุมมองของตลาดต่อโอกาสการเร่งขึ้นดอกเบี้ยรุนแรงของเฟด
ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ยังคงผันผวนหนัก โดยดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ได้พลิกกลับมาปรับตัวแข็งค่าขึ้นใกล้ระดับ 107.5 จุด ท่ามกลางความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ในจังหวะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยงจากความกังวลเศรษฐกิจชะลอตัวลงหนักและเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอย
นอกจากนี้ ความผันผวนของเงินดอลลาร์ และมุมมองของผู้เล่นบางส่วนที่ยังเชื่อว่าเฟดอาจเร่งขึ้นดอกเบี้ยรุนแรงได้ ยังคงเป็นปัจจัยที่กดดันให้ ราคาทองคำผันผวน ก่อนที่จะย่อตัวลงใกล้ระดับ 1,705 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเรามองว่ามีโอกาสที่ผู้เล่นบางส่วนอาจรอทยอยเข้าซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวอาจเป็นแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาทได้
สำหรับวันนี้ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน อาทิ Netflix โดยหากผลประกอบการของบริษัทส่วนใหญ่ออกมาแย่กว่าคาดและมีการรายงานแผนการชะลอจ้างงานหรือชะลอการลงทุน ก็อาจยิ่งทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงกังวลแนวโน้มการชะลอตัวลงหนักของเศรษฐกิจและกดดันให้ผู้เล่นในตลาดยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงได้
นอกจากนี้ ตลาดจะรอจับตารายงานข้อมูลตลาดบ้านสหรัฐฯ (Housing Start) เพื่อประเมินโอกาสที่เฟดจะเร่งขึ้นดอกเบี้ยรุนแรง เพราะหากข้อมูลยังสะท้อนภาพตลาดบ้านที่แข็งแกร่ง รวมถึงแนวโน้มราคาบ้านและค่าเช่าที่จะยังอยู่ในระดับสูงซึ่งเป็นสัดส่วนกว่า 30% บนตะกร้าเงินเฟ้อ CPI ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดเชื่อว่าเฟดอาจต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยรุนแรงได้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 36.70 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.50 น.) อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 36.61 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยเงินบาทอ่อนค่าลงตามทิศทางตลาดหุ้นและสกุลเงินส่วนใหญ่ในเอเชีย
ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ มีแรงประคองกลับมาบางส่วนจากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ประกอบกับตลาดยังคงรอติดตามผลการประชุมของธนาคารกลางหลายแห่งในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ธนาคารกลางยุโรป ธนาคารกลางญี่ปุ่น และธนาคารกลางอินโดนีเซีย
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 36.60-36.80 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สถานการณ์เงินทุนต่างชาติ และตัวเลขเศรษฐกิจต่างประเทศ อาทิ ข้อมูลการเริ่มสร้างบ้านเดือนมิ.ย. ของสหรัฐฯ อัตราว่างงานเดือนพ.ค. เดือนอังกฤษ และอัตราเงินเฟ้อเดือนมิ.ย. ของอียู