เฮ! ครม.จัดงบกลาง 1,024 ล้าน ช่วยอุดหนุนส่วนลดซื้อรถยนต์ EV

27 ก.ย. 2566 | 03:49 น.
อัปเดตล่าสุด :27 ก.ย. 2566 | 04:11 น.

ครม.จัดงบกลางทิ้งทวน 1,024 ล้าน ช่วยอุดหนุนส่วนลดซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ตามมาตรการ EV 3.0 หลังจากงบก้อนแรกจะหมดในเดือนกันยายนนี้ หวังสร้างความเชื่อมั่นประชาชนตัดสินใจซื้อรถยนต์ EV ต่อเนื่อง

รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า ขณะนี้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา ได้มีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 1,024.41 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเงินอุดหนุนตามมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าประเภทรถยนต์และรถจักรยานยนต์ (EV) ตามที่กระทรวงการคลัง เสนอ 

ทั้งนี้ เพื่อให้มาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าประเภทรถยนต์และรถจักรยานยนต์สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ และ สร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ประกอบการที่ได้รับสิทธิตามมาตรการฯ ที่จะต้องลงทุนในการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศภายในปี 2567 - 2568 ตามเงื่อนไขของมาตรการฯ และสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนในการตัดสินใจซื้อยานยนต์ไฟฟ้าต่อไป

 

ภาพประกอบข่าว มาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าประเภทรถยนต์และรถจักรยานยนต์ หรือ EV 3.0

สำหรับการจัดสรรงบกลาง จำนวน 1,024.41 ล้านบาท นั้น ที่ผ่านมาการดำเนินมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าประเภทรถยนต์และรถจักรยานยนต์ หรือ EV 3.0 ตามประกาศกรมสรรพสามิต พบว่า มีผู้ใช้สิทธิจำนวนมาก ทำให้วงเงินสำหรับการอุดหนุนดังกล่าว จะรองรับได้แค่ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 หรือถึงเดือนกันยายน 2566 นี้ เท่านั้นจึงจำเป็นต้องเสนอให้กับรัฐบาลเห็นชอบการช่วยเหลือในระยะต่อไป

ทั้งนี้ตามมาตรการ EV 3.0 เดิมครม.อนุมัติงบประมาณมาให้ 2,923.397 ล้านบาท เพื่อดำเนินการตามมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าประเภทรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ตามประกาศกรมสรรพสามิต โดยนำไปเป็นส่วนลดให้แก่ประชาชนที่สนใจซื้อรถEV คันละ 18,000 - 150,000 บาท ดังนี้

 

ภาพประกอบข่าว มาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าประเภทรถยนต์และรถจักรยานยนต์ หรือ EV 3.0

1. กรณีรถยนต์นั่ง หรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ประเภท BEV ที่มีราคาขายปลีกแนะนำไม่เกิน 2 ล้านบาท ขนาดความจุของแบตเตอรี่ตั้งแต่ 10 กิโลวัตต์ชั่วโมงแต่น้อยกว่า 30 กิโลวัตต์ชั่วโมง ได้รับเงินอุดหนุนส่วนลด คันละ 70,000 บาท ส่วนรถที่มีขนาดความจุของแบตเตอรี่ตั้งแต่ 30 กิโลวัตต์ชั่วโมงขึ้นไป ได้รับเงินอุดหนุนส่วนลดคันละ 150,000 บาท

2. กรณีรถยนต์กระบะประเภท BEV ที่มีราคาขายปลีกแนะนำไม่เกิน 2 ล้านบาท เฉพาะรถยนต์กระบะที่ผลิตในประเทศและมีขนาดความจุของแบตเตอรี่ตั้งแต่ 30 กิโลวัตต์ชั่วโมงขึ้นไป ได้รับเงินอุดหนุนส่วนลดคันละ 150,000 บาท

3. กรณีรถจักรยานยนต์ประเภท BEV ที่มีราคาขายปลีกแนะนำไม่เกิน 150,000 บาท เงินอุดหนุนส่วนลดคันละ 18,000 บาท

 

ภาพประกอบข่าว มาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าประเภทรถยนต์และรถจักรยานยนต์ หรือ EV 3.0

 

สำหรับผู้เข้าร่วมโครงการ หรือ ค่ายรถต่าง ๆ จะต้องยื่นขอรับสิทธิตามมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าฯ สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าของตนเองเป็นรายรุ่น เพื่อให้กรมสรรพสามิตพิจารณาโครงสร้างราคาขายปลีกแนะนำก่อนและหลังรับสิทธิตามมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าฯ 

เพื่อให้ราคาขายปลีกแนะนำสำหรับยานยนต์รุ่นดังกล่าวสะท้อนถึงส่วนลดต่าง ๆ ที่ภาครัฐมอบให้ตามมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าฯ รวมทั้งนำส่งรวบรวมเอกสารหลักฐานการจำหน่ายและการจดทะเบียนยานยนต์ไฟฟ้า ให้กรมสรรพสามิตเป็นรายไตรมาส เพื่อให้กรมสรรพสามิตดำเนินการพิจารณาอนุมัติจ่ายเงินอุดหนุนต่อไปโดยเงินอุดหนุนที่รัฐบาลจะมอบให้ค่ายรถที่เข้าร่วมโครงการเพื่อนำไปเป็นส่วนลดให้ประชาชนผู้สนใจซื้อรถยนต์ EV

ส่วนยอดจดทะเบียนรถยนต์ EV ในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา (มกราคม – กรกฎาคม 2566) พบว่า มียอดจดทะเบียนจำนวนกว่า 37,000 คัน และทางผู้ผลิตรถยนต์มีการประเมินว่า ยอดทั้งปีจะเกิน 50,000 คันด้วย