ขณะเดียวกัน เทสลา (Tesla) ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิต รถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติอเมริกัน ได้ดับความฝันของบรรดานักลงทุนที่เคยคาดหวังว่า รถยนต์ EV ราคาต่ำ อาจจะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของเทสลาไปสู่การเป็นผู้ผลิตรถยนต์สำหรับตลาดมวลชน
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานอ้างอิงการเปิดเผยของแหล่งข่าววานนี้ (5 เม.ย.) ว่า การตัดสินใจดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงการละทิ้งเป้าหมายอันยาวนานที่นายอีลอน มัสก์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเทสลาเคยระบุอยู่บ่อยครั้งว่า เทสลามีภารกิจหลักในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าราคาถูกสำหรับคนทั่วไป
แผนการหลักฉบับแรกของนายมัสก์ที่เคยประกาศไว้ในปี 2549 นั้น ได้เรียกร้องให้มีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นหรูหราก่อน จากนั้น จึงค่อยนำกำไรที่ได้ไปเป็นเงินทุนสำหรับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบรถครอบครัวราคาประหยัด
แต่การเปลี่ยนแปลงก็ได้เกิดขึ้น เมื่อเทสลาตัดสินใจพับเป้าหมายการผลิตรถ EV ราคาประหยัดดังกล่าว ท่ามกลางสถานการณ์ที่บริษัทต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงทั่วโลกจากผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของจีนที่มีจำนวนล้นตลาด และสามารถผลิตรถอีวีออกมาจำหน่ายในราคาต่ำเพียง 10,000 ดอลลาร์ หรือคันละประมาณ 365,200 บาทเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม แม้จะยุติแผนการผลิตรถอีวีราคาถูก นายอีลอน มัสก์ ซีอีโอของเทสลา ได้โพสต์บนโซเชียลมีเดีย X เมื่อวันศุกร์ (5 เม.ย.) ว่า เทสลาจะเปิดตัวรถแท๊กซี่ไฟฟ้าไร้คนขับ Robotaxi ในวันที่ 8 ส.ค. (8/8) ในปีนี้ โดยจะเป็นการเปิดตัวทั่วโลก และนับเป็นการเดินหน้าแผนพัฒนายานยนต์ไร้คนขับ (self-driving cars) ที่บริษัทตั้งเป้าหมายไว้นานหลายปีแล้ว
ก่อนหน้านี้ นายมัสก์เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า เทสลาจะเริ่มการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าไร้คนขับภายในปีนี้ (2024) นอกจากนี้ บริษัทยังพยายามโปรโมตซอฟต์แวร์ใหม่ที่มีชื่อว่า Full Self-Driving Capability สำหรับยานยนต์ไร้คนขับที่สามารถขับเคลื่อนด้วยตัวเองอย่างสมบูรณ์แบบ โดยซอฟต์แวร์ดังกล่าวเป็นเวอร์ชันขั้นก้าวหน้าที่พัฒนามาจากซอฟต์แวร์ “Autopilot” มาตรฐานของเทสลา ที่มีใช้อยู่แล้วในรถอีวีของเทสลาสำหรับช่วยผู้ขับขี่ในการเปลี่ยนเลนและควบคุมพวงมาลัย
หนังสือพิมพ์เดอะ วอลล์ สตรีท เจอร์นัล รายงานข่าวเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาว่า มัสก์ได้ขอให้พนักงานพาลูกค้าไปทดลองใช้เทคโนโลยีที่เป็นตัวช่วยสำหรับผู้ขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าเหล่านี้ เพื่อสร้างความคุ้นเคยและทำให้ผู้ขับขี่เกิดความประทับใจและไว้วางใจเทคโนโลยีใหม่ดังกล่าว