นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยว่า กรณีเหตุการณ์ที่หนองบัวลำภู ขอให้คิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นกรณีตัวอย่าง ที่อย่าคิดว่าจะไม่เกิดอีก กทม.ต้องเตรียมพร้อมในพื้นที่ที่รับผิดชอบ และต้องกำหนดมาตรการในโรงเรียนให้มากขึ้น ต้องไม่ให้คนอื่นเข้าในพื้นที่ และจัดให้มีระบบแจ้งเตือนป้องกันภัย
ทั้งหมดนี้อาจเป็นการแก้ไขที่ปลายเหตุ ต้นเหตุคือที่ปัญหายาบ้า และอาวุธปืนที่ต้องเคร่งครัดมากขึ้น ทั้งนี้ปัญหาที่เกิดขึ้นก็มีสัญญาณเตือนล่วงหน้ามาแล้ว มีความไม่ปกติของสภาพจิตใจของคน แต่หากคนในชุมชนเข้มแข็ง อาจจะทำให้เราเห็นได้ว่าคนในชุมชนเป็นอย่างไร และต้องแก้ไขอย่างไร
“เหตุการณ์หนองบัวลำภูสุดท้ายแล้วมันก็จะผ่านไป แต่ผ่านไปแล้วขอให้ทุกอย่างดีขึ้น ขอให้ผู้ที่เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคม และกทม.คงต้องเอาจริงเอาจังมากขึ้น แต่ที่น่าเป็นห่วงคือศูนย์เด็กเล็ก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ไม่มีรปภ. ครูอาสาก็เป็นครูผู้หญิงหรือผู้สูงอายุ ที่ผ่านมาก็ได้หารือผบ.ตร. และคุยกันต่อเนื่องผ่านคณะกรรมการ Smart Safety Zone ซึ่งเรื่องยาเสพติดก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ได้คุยกับทางตำรวจตลอด ที่ผ่านมาอาจไม่ได้มุ่งเน้นในเรื่องนี้ แต่ขณะนี้ต้องร่วมมือกับตำรวจให้จริงจังและมากขึ้น”
พล.ต.อ.อดิศร์ งามจิตสุขศรี ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า หากแยกประเภทปัญหาจะพบว่าปัญหาคืออาวุธปืน ยาเสพติด และพฤติกรรมของคน เรื่องยาเสพติดในช่วงนึงก็มีนโยบายจับกุมและดำเนินคดี จากนั้นมีนโยบายผู้เสพคือผู้ป่วยซึ่งต้องทำให้การดูแลเชิงลึกขึ้น แต่หากสถานที่ไม่เพียงพอ คนดูแลไม่พอ และผู้เสพไม่ให้ความร่วมมือ ก็จะเป็นการแก้ปัญหาแบบผิวเผิน
ส่วนเรื่องของอาวุธปืนในประเทศเราทำได้ลำบากเนื่องจากในประเทศเรามีจำนวนอาวุธปืนหลักล้าน แต่นโยบายในการควบคุมอาวุธปืนก็มีความเข้มแข็งและชัดเจน คนที่จะซื้ออาวุธปืนเป็นใครบ้าง มีการพิจารณาว่าใครจะสามารถมีแล้วเก็บไว้ที่บ้าน หรือจะมีแล้วสามารถพกพาได้ ในส่วนของกทม.เป็นอำนาจของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นผู้อนุญาตให้พกพาอาวุธปืนได้
ในแต่ละปีมีการพิจารณาอนุญาตเพียงหลักร้อยเท่านั้น โดยเป็นผู้ที่มีความจำเป็นจริงๆ อาทิ ผู้พิพากษา อัยการ ราชทัณฑ์ ส่วนของตำรวจก็มีข้อยกเว้นหากเป็นการใส่เครื่องแบบเพื่อปฏิบัติหน้าที่ อย่างไรก็ตามผู้ว่าฯ กทม. ได้ให้นโยบายกวดขันในสถานที่ไม่จำเป็นต้องพกพาอาวุธมากขึ้น อาทิ โรงภาพยนตร์ ร้านอาหาร ซึ่งไม่มีความจำเป็นต้องพก และจะกำหนดมาตรการเพิ่มเติมในสถานที่อื่นด้วย ซึ่งต้องดูว่าในส่วนของกทม.มีอำนาจอย่างไรบ้าง
“เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงจังที่กทม.ต้องเข้าไปดู ต้องเพิ่มมาตรการในชุมชน เสริมกำลังในชุมชน ให้ชุมชนได้ดูแลผู้ติดยาและทำการบำบัด ซึ่งกทม.มีศูนย์บำบัดของเรา และมีศูนย์บริการสาธารณสุขที่จะร่วมดูแล แต่กทม.จะรับไปทำให้เข้มข้นขึ้น โดยต้องตั้งเป้าให้กรุงเทพฯเป็นเมืองที่ปลอดยาบ้าถึงแม้จะยากหรืออยู่นอกการควบคุมของเราในหลายๆเรื่อง และชุมชน โรงเรียนต้องเป็นเขตปลอดยาบ้า ต้องตั้งเป็นเป้าหมายเพื่อให้มีมาตรการดำเนินการ”
พล.ต.อ.อดิศร์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ในชุมชนน่าจะมีข้อมูลเป็นที่ทราบกันดีแล้ว ซึ่งประธานชุมชนก็ควรทราบว่าบุคคลลักษณะใดมีความน่ากลัวหรือจะเป็นอันตราย ต้องทำข้อมูลและทำในเชิงรุกให้เข้มแข็งขึ้น เนื่องจากกทม. ไม่ได้มีอำนาจทั้งหมด อย่างน้อยโรงเรียนของกทม.ที่รับผิดชอบต้องเพิ่มความปลอดภัยตั้งแต่โรงเรียน โดยมีทั้งรปภ.และเทศกิจ